ผลต่างระหว่างรุ่นของ "ผู้ใช้:Pitpisit/กระบะทราย"

เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
Pitpisit (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
Pitpisit (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
บรรทัดที่ 2:
|ชื่อเรื่อง=รัฐธรรมนูญแห่งสาธารณรัฐเกาหลีใต้ ค.ศ. 1988
|ชื่อเรื่องย่อย=대한민국헌법 (大韓民國憲法) (1988)
|วิกิพีเดียชื่อเรื่อง= สาธารณรัฐ ประชาธิปไตย ประชาชนลาวเกาหลีใต้
|ผู้แต่ง=
|ผู้แต่งไม่ลิงก์=
บรรทัดที่ 10:
|ก่อนหน้า=
|ถัดไป=
|หมายเหตุ=D: สมใจ, นิศาพร – ผู้แปล/งานแปลรัฐธรรมนูญสาธารณรัฐเกาหลี/กัลยา พิมพ์/25 ส.ค. 58/แก้ไข 9 ต.ค. 58
|หมายเหตุ=
}}
 
 
 
== อารัมภบท ==
ผองเราเหล่าประชาชนของสาธารณรัฐเกาหลี รู้สึกภาคภูมิใจในขนบธรรมเนียมและประวัติศาสตร์อันยาวนานที่สืบทอดอุดมการณ์ประชาธิปไตยจากเหตุการณ์เมื่อวันที่ 19 เมษายน 2462 ซึ่งต่อต้านความอยุติธรรมและระบบกฎหมายของรัฐบาลเฉพาะกาลที่จัดตั้งขึ้นในวันที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2462 นับเป็นวันประกาศอิสรภาพจากการปกครองของญี่ปุ่น โดยมีภารกิจในการปฏิรูปประชาธิปไตยแห่งมาตุภูมิ และมีความมุ่งมั่นที่จะรวมชาติเป็นหนึ่งเดียว เสริมสร้างความสามัคคีของประชาชนในชาติตามหลักยุติธรรม มนุษยธรรม และหลักภารดรภาพและเพื่อทำลายความอยุติธรรมและขนบธรรมเนียมอันเป็นผลเสียต่อสังคมให้สูญสิ้นไป เสริมสร้างระเบียบขั้นพื้นฐานด้านเสรีประชาธิปไตยบนพื้นฐานของความเป็นอิสระและความปรองดองเพื่อมอบโอกาสให้ทุกคนอย่างเท่าเทียมกันในการแสดงความสามารถได้อย่างเต็มที่ในทุกๆ ด้าน ทั้งในด้านของการเมือง เศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรมเพื่อสนองตอบต่อภาระหน้าที่และความรับผิดชอบที่เอื้อต่อสิทธิและเสรีภาพของประชาชนของประเทศมุ่งยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในประเทศ อันจะนำมาสู่ความเจริญรุ่งเรืองของมวลมนุษยชาติและสันติภาพของโลกที่ยั่งยืน และเพื่อให้เสรีภาพ ความสุข ความปลอดภัยของพวกเราและบุตรหลานของพวกเรายั่งยืนตลอดไป พวกเราจึงได้บัญญัติรัฐธรรมนูญขึ้น เมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2491 ซึ่งได้ดำเนินการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพิ่มเติมตามลำดับทั้งหมด 8 ครั้ง โดยผ่านความเห็นชอบจากที่ประชุมรัฐสภา และการลงประชามติ ตามบทบัญญัติ ดังต่อไปนี้
 
= หมวด 1 บทบัญญัติทั่วไป =
ผองเราเหล่าประชาชนของสาธารณรัฐเกาหลี รู้สึกภาคภูมิใจในขนบธรรมเนียมและประวัติศาสตร์
 
=== มาตรา 1 ===
อันยาวนานที่สืบทอดอุดมการณ์ประชาธิปไตยจากเหตุการณ์เมื่อวันที่ ๑๙ เมษายน ๒๔๖๒ ซึ่งต่อต้านความอยุติธรรม
(1) สาธารณรัฐเกาหลีเป็นสาธารณรัฐประชาธิปไตย
 
(2) อำนาจอธิปไตยของสาธารณรัฐเกาหลีเป็นของประชาชน และอำนาจทั้งหมดมาจากประชาชน
และระบบกฎหมายของรัฐบาลเฉพาะกาลที่จัดตั้งขึ้นในวันที่ ๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๖๒ นับเป็นวันประกาศอิสรภาพ
 
=== มาตรา 2 ===
จากการปกครองของญี่ปุ่น โดยมีภารกิจในการปฏิรูปประชาธิปไตยแห่งมาตุภูมิ และมีความมุ่งมั่นที่จะรวมชาติ
(1) เงื่อนไขในการเป็นพลเมืองของสาธารณรัฐเกาหลีให้เป็นไปตามกฎหมาย
 
(2) รัฐมีหน้าที่ที่จะต้องปกป้องประชาชนที่อาศัยในต่างประเทศตามที่กฎหมายกำหนดไว้
ให้เป็นหนึ่งเดียว เสริมสร้างความสามัคคีของประชาชนในชาติตามหลักยุติธรรม มนุษยธรรม และหลักภารดรภาพ
 
=== มาตรา 3 ===
และเพื่อทำลายความอยุติธรรมและขนบธรรมเนียมอันเป็นผลเสียต่อสังคมให้สูญสิ้นไป เสริมสร้างระเบียบขั้นพื้นฐาน
อาณาเขตของสาธารณรัฐเกาหลีประกอบด้วยส่วนที่เป็นคาบสมุทรเกาหลี และเกาะบริเวณใกล้เคียง
 
=== มาตรา 4 ===
ด้านเสรีประชาธิปไตยบนพื้นฐานของความเป็นอิสระและความปรองดองเพื่อมอบโอกาสให้ทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน
สาธารณรัฐเกาหลีมุ่งมั่นให้เกิดการรวมประเทศให้เป็นหนึ่งเดียว และสนับสนุนการดำเนิน
 
ในการแสดงความสามารถได้อย่างเต็มที่ในทุกๆ ด้าน ทั้งในด้านของการเมือง เศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม
 
เพื่อสนองตอบต่อภาระหน้าที่และความรับผิดชอบที่เอื้อต่อสิทธิและเสรีภาพของประชาชนของประเทศ
 
มุ่งยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในประเทศ อันจะนำมาสู่ความเจริญรุ่งเรืองของมวลมนุษยชาติ
 
และสันติภาพของโลกที่ยั่งยืน และเพื่อให้เสรีภาพ ความสุข ความปลอดภัยของพวกเราและบุตรหลานของพวกเรา
 
ยั่งยืนตลอดไป พวกเราจึงได้บัญญัติรัฐธรรมนูญขึ้น เมื่อวันที่ ๑๒ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๙๑ ซึ่งได้ดำเนินการแก้ไข
 
รัฐธรรมนูญเพิ่มเติมตามลำดับทั้งหมด ๘ ครั้ง โดยผ่านความเห็นชอบจากที่ประชุมรัฐสภา และการลงประชามติ
 
ตามบทบัญญัติ ดังต่อไปนี้
 
หมวด ๑
 
บทบัญญัติทั่วไป
 
มาตรา ๑ (๑) สาธารณรัฐเกาหลีเป็นสาธารณรัฐประชาธิปไตย
 
(๒) อำนาจอธิปไตยของสาธารณรัฐเกาหลีเป็นของประชาชน และอำนาจทั้งหมดมาจาก
 
ประชาชน
 
มาตรา ๒ (๑) เงื่อนไขในการเป็นพลเมืองของสาธารณรัฐเกาหลีให้เป็นไปตามกฎหมาย
 
(๒) รัฐมีหน้าที่ที่จะต้องปกป้องประชาชนที่อาศัยในต่างประเทศตามที่กฎหมายกำหนดไว้
 
มาตรา ๓ อาณาเขตของสาธารณรัฐเกาหลีประกอบด้วยส่วนที่เป็นคาบสมุทรเกาหลี และเกาะบริเวณ
 
ใกล้เคียง
 
 
มาตรา ๔ สาธารณรัฐเกาหลีมุ่งมั่นให้เกิดการรวมประเทศให้เป็นหนึ่งเดียว และสนับสนุนการดำเนิน
 
นโยบายการรวมประเทศตามหลักสันติภาพแบบประชาธิปไตย
 
=== มาตรา 5 ===
มาตรา ๕ (๑) สาธารณรัฐเกาหลีมุ่งที่จะรักษาสันติภาพระหว่างประเทศ และไม่ยอมรับการทำสงคราม
(1) สาธารณรัฐเกาหลีมุ่งที่จะรักษาสันติภาพระหว่างประเทศ และไม่ยอมรับการทำสงครามทั้งปวง
 
ทั้งปวง
 
(๒) กองทัพของประเทศมีหน้าที่ปฏิบัติภารกิจอันศักดิ์สิทธิ์ในการรักษาความปลอดภัย และ
 
ความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ คงไว้ซึ่งความเป็นกลางทางการเมือง
 
มาตรา ๖ (๑) การลงนามในสนธิสัญญา ข้อตกลง สัตยาบัน รวมถึงกฎหมายและข้อบังคับระหว่างประเทศ
 
ตามบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญ ให้มีผลเป็นที่ยอมรับโดยทั่วไปมีผลบังคับใช้เฉกเช่นเดียวกับกฎหมายของประเทศ
 
(๒) สถานภาพของคนต่างด้าวได้รับความคุ้มครองตามที่กฎหมายระหว่างประเทศ และ
 
สนธิสัญญากำหนด
 
มาตรา ๗ (๑) เจ้าหน้าที่ของรัฐเป็นผู้ดูแลรับใช้ประชาชนทั้งประเทศและต้องรับผิดชอบต่อประชาชน
 
(๒) เจ้าหน้าที่ของรัฐอยู่ในสถานะแห่งความเป็นกลางทางการเมือง ซึ่งได้รับความคุ้มครอง
 
ตามที่กฎหมายกำหนด
 
มาตรา ๘ (๑) การจัดตั้งพรรคการเมืองสามารถกระทำได้โดยเสรี และระบบหลายพรรคการเมืองได้รับ
 
ความคุ้มครอง
 
(2) กองทัพของประเทศมีหน้าที่ปฏิบัติภารกิจอันศักดิ์สิทธิ์ในการรักษาความปลอดภัย และความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ คงไว้ซึ่งความเป็นกลางทางการเมือง
(๒) วัตถุประสงค์ หน่วยงานภายในและกิจกรรมของพรรคการเมืองต้องเป็นประชาธิปไตย
 
=== มาตรา 6 ===
และต้องมีหน่วยงานที่จำเป็น เพื่อให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการกำหนดความคิดเห็นทางการเมือง
(1) การลงนามในสนธิสัญญา ข้อตกลง สัตยาบัน รวมถึงกฎหมายและข้อบังคับระหว่างประเทศตามบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญ ให้มีผลเป็นที่ยอมรับโดยทั่วไปมีผลบังคับใช้เฉกเช่นเดียวกับกฎหมายของประเทศ
 
(2) พรรคการเมืองย่อมสถานภาพของคนต่างด้าวได้รับการความคุ้มครองจากรัฐตามบทบัญญัติแห่งที่กฎหมายระหว่างประเทศ และรัฐสนธิสัญญากำหนด
 
=== มาตรา 7 ===
สามารถให้ความช่วยเหลือเงินทุนที่จำเป็นต่อการบริหารจัดการพรรคการเมืองตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
(1) เจ้าหน้าที่ของรัฐเป็นผู้ดูแลรับใช้ประชาชนทั้งประเทศและต้องรับผิดชอบต่อประชาชน
 
(2) เจ้าหน้าที่ของรัฐอยู่ในสถานะแห่งความเป็นกลางทางการเมือง ซึ่งได้รับความคุ้มครองตามที่กฎหมายกำหนด
(๔) หากพรรคการเมืองใดมีวัตถุประสงค์หรือกิจกรรมที่เป็นการละเมิดต่อหลักการ
 
=== มาตรา 8 ===
แห่งประชาธิปไตย รัฐมีอำนาจที่จะยื่นคำร้องขอยุบพรรคการเมืองนั้นต่อศาลรัฐธรรมนูญ และพรรคการเมือง
(1) การจัดตั้งพรรคการเมืองสามารถกระทำได้โดยเสรี และระบบหลายพรรคการเมืองได้รับความคุ้มครอง
 
(2) วัตถุประสงค์ หน่วยงานภายในและกิจกรรมของพรรคการเมืองต้องเป็นประชาธิปไตยและต้องมีหน่วยงานที่จำเป็น เพื่อให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการกำหนดความคิดเห็นทางการเมือง
ดังกล่าว จะถูกยุบโดยผ่านการตัดสินพิพากษาของศาลรัฐธรรมนูญ
 
(3) พรรคการเมืองย่อมได้รับการคุ้มครองจากรัฐตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย และรัฐสามารถให้ความช่วยเหลือเงินทุนที่จำเป็นต่อการบริหารจัดการพรรคการเมืองตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
มาตรา ๙ รัฐมุ่งมั่นที่จะสืบทอดและพัฒนามรดกทางวัฒนธรรม และเสริมสร้างวัฒนธรรมของชาติ
 
(4) หากพรรคการเมืองใดมีวัตถุประสงค์หรือกิจกรรมที่เป็นการละเมิดต่อหลักการแห่งประชาธิปไตย รัฐมีอำนาจที่จะยื่นคำร้องขอยุบพรรคการเมืองนั้นต่อศาลรัฐธรรมนูญ และพรรคการเมืองดังกล่าว จะถูกยุบโดยผ่านการตัดสินพิพากษาของศาลรัฐธรรมนูญ
 
=== มาตรา 9 ===
หมวด ๒
รัฐมุ่งมั่นที่จะสืบทอดและพัฒนามรดกทางวัฒนธรรม และเสริมสร้างวัฒนธรรมของชาติ
 
== หมวด 2 สิทธิและหน้าที่ของประชาชน ==
 
=== มาตรา 10 ===
มาตรา ๑๐ ประชาชนทุกคนมีศักดิ์ศรีและคุณค่าในฐานะที่เป็นมนุษย์ และมีสิทธิที่จะแสวงหาความสุข
ประชาชนทุกคนมีศักดิ์ศรีและคุณค่าในฐานะที่เป็นมนุษย์ และมีสิทธิที่จะแสวงหาความสุข
 
รัฐมีหน้าที่ให้ความคุ้มครองสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานที่ประชาชนทุกคนพึงจะมีอย่างหลีกเลี่ยงมิได้
 
=== มาตรา 11 ===
มาตรา ๑๑ (๑) ประชาชนทุกคนมีความเท่าเทียมกันในกฎหมาย และจะได้รับการเลือกปฏิบัติในทาง
(1) ประชาชนทุกคนมีความเท่าเทียมกันในกฎหมาย และจะได้รับการเลือกปฏิบัติในทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และวิถีทางวัฒนธรรม เนื่องจากความแตกต่างทางเพศ ศาสนา หรือสังคม มิได้
 
(2) จะไม่มีการยอมรับชนชั้นวรรณะพิเศษใดๆ และจะมีชนชั้นวรรณะพิเศษในรูปแบบใดๆ มิได้
การเมือง เศรษฐกิจ สังคม และวิถีทางวัฒนธรรม เนื่องจากความแตกต่างทางเพศ ศาสนา หรือสังคม มิได้
 
(3) การมอบเครื่องอิสริยาภรณ์ใดๆ จะมีผลบังคับเฉพาะผู้รับเท่านั้น และจะไม่มีอภิสิทธิ์ใดๆ ที่เกิดจากการได้รับเครื่องอิสริยาภรณ์นั้น
(๒) จะไม่มีการยอมรับชนชั้นวรรณะพิเศษใดๆ และจะมีชนชั้นวรรณะพิเศษในรูปแบบ
 
=== มาตรา 12 ===
ใดๆ มิได้
(1) ประชาชนทุกคนมีเสรีภาพทางร่างกาย บุคคลใดจะถูกจับกุม คุมขัง ยึด สืบค้น หรือสอบสวนมิได้ เว้นแต่ที่เป็นไปโดยกฎหมายกำหนด บุคคลใดจะถูกลงโทษ หรือถูกจำกัดการคุ้มครองการป้องกันหรือบังคับใช้แรงงานมิได้ เว้นแต่ที่ได้ระบุไว้ในกฎหมาย หรือเป็นไปตามขั้นตอนที่ชอบด้วยกฎหมาย
 
(2) ประชาชนทุกคนจะได้รับการทารุณกรรม หรือถูกบังคับในการให้ปากคำอันจะเป็นผลเสียต่อตนเองในคดีอาญาไม่ได้
(๓) การมอบเครื่องอิสริยาภรณ์ใดๆ จะมีผลบังคับเฉพาะผู้รับเท่านั้น และจะไม่มีอภิสิทธิ์
 
(3) ในกรณีที่จะดำเนินการจับกุม คุมขัง ยึด หรือสืบค้น จะต้องแสดงหมายศาลที่ออกโดยผู้พิพากษา ด้วยการยื่นขอสืบค้นตามขั้นตอนที่ชอบด้วยกฎหมาย แต่ในกรณีที่ต้องสงสัยว่าเป็นผู้มีความผิดทางอาญาหรือต้องโทษในคดีอาญาที่มีโทษจำคุก 3 ปีขึ้นไป และเป็นกังวลว่าผู้ต้องหาจะหลบหนีหรืออาจทำลายหลักฐานความผิด สามารถยื่นขอหมายศาลในภายหลังได้
ใดๆ ที่เกิดจากการได้รับเครื่องอิสริยาภรณ์นั้น
 
(4) บุคคลใดๆที่ถูกจับกุม หรือถูกควบคุมตัว มีสิทธิที่จะได้รับความช่วยเหลือจากทนายความโดยพลัน แต่หากผู้ต้องหาคดีอาญาไม่สามารถหาทนายความได้ด้วยตนเอง รัฐจะต้องจัดหาทนายความให้ตามที่กฎหมายกำหนด
มาตรา ๑๒ (๑) ประชาชนทุกคนมีเสรีภาพทางร่างกาย บุคคลใดจะถูกจับกุม คุมขัง ยึด สืบค้น หรือ
 
(5) บุคคลใดที่ถูกจับกุม หรือถูกควบคุมตัว โดยไม่แจ้งสาเหตุของการจับกุมหรือไม่แจ้งสิทธิที่สามารถได้รับความช่วยเหลือจากทนายความมิได้ และจะต้องแจ้งเวลาและสถานที่ที่ถูกจับกุม หรือคุมขังให้แก่ครอบครัวของผู้ถูกจับกุมหรือคุมขังตามที่กฎหมายกำหนดโดยพลัน
สอบสวนมิได้ เว้นแต่ที่เป็นไปโดยกฎหมายกำหนด บุคคลใดจะถูกลงโทษ หรือถูกจำกัดการคุ้มครองการป้องกัน
 
(6) บุคคลใดที่ถูกจับกุม หรือถูกคุมขังมีสิทธิที่จะร้องขอต่อศาลเพื่อตรวจสอบความชอบด้วยกฎหมายของการดำเนินการจับกุม หรือคุมขัง
หรือบังคับใช้แรงงานมิได้ เว้นแต่ที่ได้ระบุไว้ในกฎหมาย หรือเป็นไปตามขั้นตอนที่ชอบด้วยกฎหมาย
 
(7) กรณีที่มีการใช้ความรุนแรง การทารุณกรรมทางเพศ การข่มขู่ หรือการหลอกลวงเพื่อให้ผู้ต้องหารับสารภาพ หรือในกรณีที่คำสารภาพของผู้ต้องหาเป็นเพียงหลักฐานของผู้ต้องหาในการพิจารณาคดีคำสารภาพนั้น จะนำมาใช้เป็นหลักฐานของความผิดหรือเป็นหลักฐานให้ผู้ต้องหาได้รับการลงโทษมิได้
(๒) ประชาชนทุกคนจะได้รับการทารุณกรรม หรือถูกบังคับในการให้ปากคำอันจะเป็น
 
=== มาตรา 13 ===
ผลเสียต่อตนเองในคดีอาญาไม่ได้
(1) ประชาชนทุกคนจะต้องไม่ถูกดำเนินคดีสำหรับการกระทำที่ไม่เป็นความผิดทางอาญาตามกฎหมายกำหนด และจะได้รับโทษในความผิดเดียวกันมิได้
 
(2) ประชาชนทุกคนจะต้องไม่ถูกจำกัดสิทธิทางการเมือง หรือจะต้องไม่ถูกลิดรอนสิทธิในทรัพย์สินผ่านการบัญญัติกฎหมายที่มีผลบังคับย้อนหลัง
(๓) ในกรณีที่จะดำเนินการจับกุม คุมขัง ยึด หรือสืบค้น จะต้องแสดงหมายศาลที่ออกโดย
 
(3) ประชาชนทุกคนจะได้รับการดูแลโดยมิชอบ อันเนื่องมาจากการกระทำของญาติพี่น้องที่ไม่ใช่การกระทำของตนเองมิได้
ผู้พิพากษา ด้วยการยื่นขอสืบค้นตามขั้นตอนที่ชอบด้วยกฎหมาย แต่ในกรณีที่ต้องสงสัยว่าเป็นผู้มีความผิดทางอาญา
 
=== มาตรา 14 ===
หรือต้องโทษในคดีอาญาที่มีโทษจำคุก ๓ ปีขึ้นไป และเป็นกังวลว่าผู้ต้องหาจะหลบหนีหรืออาจทำลายหลักฐาน
ประชาชนทุกคนมีเสรีภาพในการอยู่อาศัย และมีสิทธิในการเคลื่อนย้ายถิ่นฐาน
 
=== มาตรา 15 ===
ความผิด สามารถยื่นขอหมายศาลในภายหลังได้
ประชาชนทุกคนมีเสรีภาพในการประกอบอาชีพ
 
=== มาตรา 16 ===
(๔) บุคคลใดๆที่ถูกจับกุม หรือถูกควบคุมตัว มีสิทธิที่จะได้รับความช่วยเหลือจาก
ประชาชนทุกคนจะถูกละเมิดเสรีภาพในการอยู่อาศัยมิได้ เว้นแต่กรณีที่จะทำการเข้ายึดหรือตรวจค้นที่พักอาศัยจำต้องแสดงหมายศาลในการยื่นขอการตรวจค้น
 
=== มาตรา 17 ===
ทนายความโดยพลัน แต่หากผู้ต้องหาคดีอาญาไม่สามารถหาทนายความได้ด้วยตนเอง รัฐจะต้องจัดหา
ประชาชนทุกคนจะต้องไม่ถูกละเมิดเสรีภาพและความเป็นส่วนตัว
 
=== มาตรา 18 ===
ทนายความให้ตามที่กฎหมายกำหนด
ประชาชนทุกคนจะต้องไม่ถูกละเมิดความเป็นส่วนตัวในการติดต่อสื่อสาร
 
=== มาตรา 19 ===
(๕) บุคคลใดที่ถูกจับกุม หรือถูกควบคุมตัว โดยไม่แจ้งสาเหตุของการจับกุมหรือไม่แจ้งสิทธิ
ประชาชนทุกคนมีเสรีภาพทางความคิด
 
=== มาตรา 20 ===
ที่สามารถได้รับความช่วยเหลือจากทนายความมิได้ และจะต้องแจ้งเวลาและสถานที่ที่ถูกจับกุม หรือคุมขังให้แก่
(1) ประชาชนทุกคนมีเสรีภาพในการนับถือศาสนา
 
(2) ไม่มีศาสนาประจำชาติ และศาสนากับการเมืองต้องแยกออกจากกัน
ครอบครัวของผู้ถูกจับกุมหรือคุมขังตามที่กฎหมายกำหนดโดยพลัน
 
=== มาตรา 21 ===
(๖) บุคคลใดที่ถูกจับกุม หรือถูกคุมขังมีสิทธิที่จะร้องขอต่อศาลเพื่อตรวจสอบความชอบ
(1) ประชาชนทุกคนมีเสรีภาพในการพูด ติดต่อสื่อสาร และเสรีภาพในการรวมตัว และการเข้าร่วมเป็นสมาคม
 
(2) การอนุญาตหรือการเซ็นเซอร์การพูด หรือในสื่อต่างๆ และการอนุญาตให้รวมตัวกันและเข้าร่วมเป็นสมาคมจะไม่ได้รับการยอมรับ
ด้วยกฎหมายของการดำเนินการจับกุม หรือคุมขัง
 
(3) มาตรฐานของสิ่งอำนวยความสะดวกด้านการสื่อสารและการกระจายเสียง และรายละเอียดที่จำเป็น เพื่อให้แน่ใจถึงอำนาจหน้าที่ของสื่อหนังสือพิมพ์ให้เป็นไปตามที่กฎหมายบัญญัติ
(๗) กรณีที่มีการใช้ความรุนแรง การทารุณกรรมทางเพศ การข่มขู่ หรือการหลอกลวง
 
(4) คำพูด หรือสื่อสิ่งพิมพ์ใด จะละเมิดสิทธิและชื่อเสียงของผู้อื่น หรือคุณธรรมพื้นฐานของสังคมหรือจริยธรรมทางสังคมมิได้ หากคำพูดหรือสื่อสิ่งพิมพ์ใดเกิดการละเมิดสิทธิ และชื่อเสียงของผู้อื่นผู้เสียหายสามารถเรียกร้องการชดเชยความเสียหายที่เกิดขึ้นได้
เพื่อให้ผู้ต้องหารับสารภาพ หรือในกรณีที่คำสารภาพของผู้ต้องหาเป็นเพียงหลักฐานของผู้ต้องหาในการพิจารณาคดี
 
=== มาตรา 22 ===
คำสารภาพนั้น จะนำมาใช้เป็นหลักฐานของความผิดหรือเป็นหลักฐานให้ผู้ต้องหาได้รับการลงโทษมิได้
(1) ประชาชนทุกคนมีเสรีภาพในการเรียนรู้และศึกษาศิลปะ
 
(2) สิทธิของนักประพันธ์ นักประดิษฐ์ นักวิทยาศาสตร์ และศิลปินจะได้รับความคุ้มครองโดยกฎหมาย
 
=== มาตรา 23 ===
มาตรา ๑๓ (๑) ประชาชนทุกคนจะต้องไม่ถูกดำเนินคดีสำหรับการกระทำที่ไม่เป็นความผิดทางอาญา
(1) สิทธิในทรัพย์สินของประชาชนทุกคนจะได้รับการรับรอง รายละเอียดและข้อจำกัดได้กำหนดไว้ในกฎหมาย
 
(2) การใช้สิทธิในทรัพย์สินจะต้องสอดคล้องกับสวัสดิภาพของประชาชน
ตามกฎหมายกำหนด และจะได้รับโทษในความผิดเดียวกันมิได้
 
(3) การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ การใช้หรือการจำกัดสิทธิในทรัพย์สิน เนื่องมาจากความจำเป็นของประชาชน และค่าชดเชยในเรื่องดังกล่าวให้เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด ในกรณีดังกล่าวจะต้องมีการจ่ายค่าชดเชยให้เหมาะสม
(๒) ประชาชนทุกคนจะต้องไม่ถูกจำกัดสิทธิทางการเมือง หรือจะต้องไม่ถูกลิดรอนสิทธิ
 
=== มาตรา 24 ===
ในทรัพย์สินผ่านการบัญญัติกฎหมายที่มีผลบังคับย้อนหลัง
ประชาชนทุกคนมีสิทธิในการเลือกตั้งตามที่กฎหมายกำหนดไว้
 
=== มาตรา 25 ===
(๓) ประชาชนทุกคนจะได้รับการดูแลโดยมิชอบ อันเนื่องมาจากการกระทำของญาติพี่น้อง
ประชาชนทุกคนมีสิทธิในการรับราชการตามที่กฎหมายกำหนดไว้
 
=== มาตรา 26 ===
ที่ไม่ใช่การกระทำของตนเองมิได้
(1) ประชาชนทุกคนมีสิทธิในการร้องเรียนเป็นลายลักษณ์อักษรต่อหน่วยงานของรัฐตามที่รัฐธรรมนูญและกฎหมายกำหนด
 
(2) รัฐมีหน้าที่ในการตรวจสอบเกี่ยวกับการร้องเรียนนั้น
มาตรา ๑๔ ประชาชนทุกคนมีเสรีภาพในการอยู่อาศัย และมีสิทธิในการเคลื่อนย้ายถิ่นฐาน
 
=== มาตรา 27 ===
มาตรา ๑๕ ประชาชนทุกคนมีเสรีภาพในการประกอบอาชีพ
(1) ประชาชนทุกคนมีสิทธิที่จะได้รับการพิจารณาคดีตามกฎหมาย โดยผู้พิพากษามีอำนาจหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญและกฎหมาย
 
(2) บุคคลที่มิได้รับราชการทหาร หรือเป็นลูกจ้างของหน่วยราชการทหารไม่ต้องได้รับการพิจารณาคดีในศาลทหารภายใต้เขตอาณาบริเวณของสาธารณรัฐเกาหลี เว้นแต่ในกรณีที่เป็นการก่ออาชญากรรมตามที่บัญญัติไว้ในกฎหมายเกี่ยวกับข้อมูลความลับทางการทหารที่สำคัญ ทหารยาม การเฝ้ายาม การจำหน่ายอาหารและเครื่องดื่มที่เป็นพิษ เป็นเชลยศึก และในกรณีที่มีการประกาศกฎอัยการศึก
มาตรา ๑๖ ประชาชนทุกคนจะถูกละเมิดเสรีภาพในการอยู่อาศัยมิได้ เว้นแต่กรณีที่จะทำการเข้ายึด
 
(3) ประชาชนทุกคนมีสิทธิที่จะได้รับการพิจารณาคดีด้วยความรวดเร็ว ผู้ต้องหาในคดีอาญามีสิทธิที่จะได้รับการพิจารณาคดีโดยเปิดเผยอย่างไม่ล่าช้าหากไม่มีเหตุผลอันสมควร
หรือตรวจค้นที่พักอาศัยจำต้องแสดงหมายศาลในการยื่นขอการตรวจค้น
 
(4) ผู้ต้องหาในคดีอาญาจะได้รับการสันนิษฐานว่าเป็นผู้บริสุทธิ์จนกระทั่งจะมีการตัดสินว่ามีความผิดอย่างชัดเจน
มาตรา ๑๗ ประชาชนทุกคนจะต้องไม่ถูกละเมิดเสรีภาพและความเป็นส่วนตัว
 
(5) ผู้เสียหายในคดีอาญาสามารถให้ปากคำในชั้นศาลตามที่กฎหมายกำหนดได้
มาตรา ๑๘ ประชาชนทุกคนจะต้องไม่ถูกละเมิดความเป็นส่วนตัวในการติดต่อสื่อสาร
 
=== มาตรา 28 ===
มาตรา ๑๙ ประชาชนทุกคนมีเสรีภาพทางความคิด
ในกรณีที่ผู้ต้องหา หรือผู้ต้องสงสัยในคดีอาญาผู้ซึ่งถูกคุมขังอยู่แล้ว ได้รับการยกฟ้อง หรือถูกตัดสินว่าไม่มีความผิดตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย ผู้ต้องหา หรือผู้ต้องสงสัยในคดีอาญาสามารถเรียกร้องค่าชดเชยเป็นจำนวนที่เหมาะสมต่อรัฐได้ตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
 
=== มาตรา 29 ===
มาตรา ๒๐ (๑) ประชาชนทุกคนมีเสรีภาพในการนับถือศาสนา
(1) บุคคลที่ได้รับความเสียหายจากการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบของข้าราชการ หรือเจ้าหน้าที่รัฐ สามารถเรียกร้องค่าชดเชยจากรัฐ หรือจากองค์กรของรัฐได้ภายใต้บทบัญญัติแห่งกฎหมาย และหน่วยงาน เจ้าหน้าที่รัฐจะต้องร่วมรับผิดชอบหนี้สินดังกล่าวด้วย
 
(2) ในกรณีที่เป็นทหาร บุคคลที่ทำงานในหน่วยราชการทหาร ข้าราชการตำรวจ หรืออื่นๆตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายได้รับความเสียหายอันเนื่องมาจากการทำสงคราม การฝึกซ้อม การปฏิบัติหน้าที่อื่นๆบุคคลนั้นจะไม่ได้รับสิทธิในการเรียกร้องค่าเสียหายต่อรัฐ หรือต่อองค์กรของรัฐเนื่องจากเจ้าหน้าที่รัฐกระทำอันมิชอบด้วยกฎหมาย แต่จะมีสิทธิที่จะได้รับค่าชดเชยตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
(๒) ไม่มีศาสนาประจำชาติ และศาสนากับการเมืองต้องแยกออกจากกัน
 
=== มาตรา 30 ===
มาตรา ๒๑ (๑) ประชาชนทุกคนมีเสรีภาพในการพูด ติดต่อสื่อสาร และเสรีภาพในการรวมตัว และ
บุคคลที่ได้รับความเสียหายจนถึงแก่ชีวิต หรือความเสียหายทางร่างกาย เนื่องจากการกระทำความผิดทางอาญาของผู้อื่น สามารถได้รับความช่วยเหลือจากรัฐตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
 
=== มาตรา 31 ===
การเข้าร่วมเป็นสมาคม
(1) ประชาชนทุกคนมีสิทธิที่จะได้รับการศึกษาอย่างเท่าเทียมกันตามความสามารถของแต่ละบุคคล
 
(2) ประชาชนทุกคนมีหน้าที่ในการให้บุตรหลานในการปกครองได้รับการศึกษาอย่างน้อยที่สุดในระดับชั้นประถมศึกษาตามที่กฎหมายกำหนด
(๒) การอนุญาตหรือการเซ็นเซอร์การพูด หรือในสื่อต่างๆ และการอนุญาตให้รวมตัวกัน
 
(3) การศึกษาภาคบังคับไม่เสียค่าใช้จ่าย
และเข้าร่วมเป็นสมาคมจะไม่ได้รับการยอมรับ
 
(4) ความเป็นอิสระ เทคนิค ความเป็นกลางทางการเมืองของการศึกษา และความเป็นอิสระของมหาวิทยาลัยจะได้รับการรับประกันภายใต้เงื่อนไขที่กฎหมายกำหนด
(๓) มาตรฐานของสิ่งอำนวยความสะดวกด้านการสื่อสารและการกระจายเสียง และ
 
(5) รัฐต้องให้การสนับสนุนการเรียนรู้ตลอดชีวิต
รายละเอียดที่จำเป็น เพื่อให้แน่ใจถึงอำนาจหน้าที่ของสื่อหนังสือพิมพ์ให้เป็นไปตามที่กฎหมายบัญญัติ
 
(6) ระบบการศึกษาที่รวมถึงการศึกษาในสถาบันการศึกษาและการเรียนรู้ตลอดชีวิตและการบริหารจัดการ การเงิน และรายละเอียดเกี่ยวกับสถานภาพของบุคลากรทางการศึกษาได้กำหนดไว้ในกฎหมาย
(๔) คำพูด หรือสื่อสิ่งพิมพ์ใด จะละเมิดสิทธิและชื่อเสียงของผู้อื่น หรือคุณธรรมพื้นฐาน
 
=== มาตรา 32 ===
ของสังคมหรือจริยธรรมทางสังคมมิได้ หากคำพูดหรือสื่อสิ่งพิมพ์ใดเกิดการละเมิดสิทธิ และชื่อเสียงของผู้อื่น
(1) ประชาชนทุกคนมีสิทธิในการทำงาน รัฐจะต้องมุ่งในการสนับสนุนการจ้างแรงงานและมุ่งในการรับประกันค่าจ้างแรงงานที่เหมาะสมด้วยวิธีการทางสังคมและเศรษฐกิจ และจะต้องบังคับใช้ระบบค่าแรงขั้นต่ำภายใต้เงื่อนไขที่กำหนดตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
 
(2) ประชาชนทุกคนมีหน้าที่ในการทำงาน รัฐได้กำหนดรายละเอียดและเงื่อนไขของการปฏิบัติงานที่สอดคล้องกับหลักการทางประชาธิปไตยตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
ผู้เสียหายสามารถเรียกร้องการชดเชยความเสียหายที่เกิดขึ้นได้
 
(3) มาตรฐานของเงื่อนไขในการทำงานให้กำหนดโดยกฎหมายเพื่อรับรองศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์
 
(4) แรงงานผู้หญิงได้รับความคุ้มครองเป็นพิเศษ และจะต้องไม่ได้รับการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมทั้งในเรื่องของการจ้างงาน ค่าแรง และเงื่อนไขของการทำงาน
มาตรา ๒๒ (๑) ประชาชนทุกคนมีเสรีภาพในการเรียนรู้และศึกษาศิลปะ
 
(5) สิทธิของนักประพันธ์ นักประดิษฐ์ นักวิทยาศาสตร์ และศิลปินจะแรงงานที่เป็นผู้ที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะได้รับความคุ้มครองเป็นพิเศษ
 
(6) ครอบครัวของผู้มีคุณูปการของชาติ ทหารทุพพลภาพ และทหารและตำรวจที่เสียชีวิตในสงครามพึงได้รับโอกาสในการทำงานก่อน ตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
โดยกฎหมาย
 
=== มาตรา 33 ===
มาตรา ๒๓ (๑) สิทธิในทรัพย์สินของประชาชนทุกคนจะได้รับการรับรอง รายละเอียดและข้อจำกัด
(1) แรงงานมีสิทธิในการเข้าร่วมกลุ่ม และมีสิทธิในการเจรจาต่อรองร่วมกัน สิทธิในการจัดระเบียบอย่างอิสระเพื่อปรับปรุงเงื่อนไขในการทำงานตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
 
(2) ผู้ที่เป็นเจ้าหน้าที่ที่กำหนดในกฎหมายเท่านั้นเป็นผู้มีสิทธิในการเข้าร่วมกลุ่ม และมีสิทธิในการเจรจาต่อรองร่วมกัน สิทธิในการจัดระเบียบอย่างอิสระ
ได้กำหนดไว้ในกฎหมาย
 
(3) สิทธิในการเข้าร่วมกลุ่มของแรงงานที่ปฏิบัติงานด้านการป้องกันรักษาดินแดนตามที่กฎหมายกำหนดจะถูกจำกัด หรือได้รับการปฏิเสธในการเข้าร่วมกลุ่มภายใต้เงื่อนไขตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
(๒) การใช้สิทธิในทรัพย์สินจะต้องสอดคล้องกับสวัสดิภาพของประชาชน
 
=== มาตรา 34 ===
(๓) การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ การใช้หรือการจำกัดสิทธิในทรัพย์สิน เนื่องมาจากความจำเป็น
(1) ประชาชนทุกคนมีสิทธิในการใช้ชีวิตที่สมกับความเป็นมนุษย์
 
(2) รัฐมีหน้าที่ในการมุ่งสนับสนุนความมั่นคงแห่งสังคม และสวัสดิการทางสังคม
ของประชาชน และค่าชดเชยในเรื่องดังกล่าวให้เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด ในกรณีดังกล่าวจะต้องมีการจ่าย
 
(3) รัฐพึงพยายามส่งเสริมสวัสดิการและสิทธิสตรี
ค่าชดเชยให้เหมาะสม
 
(4) รัฐมีหน้าที่ในการดำเนินนโยบายเพื่อเสริมสร้างสวัสดิการของผู้สูงอายุ และเยาวชน
มาตรา ๒๔ ประชาชนทุกคนมีสิทธิในการเลือกตั้งตามที่กฎหมายกำหนดไว้
 
(5) บุคคลที่ไม่อาจเลี้ยงชีพได้อันเนื่องมาจากการเป็นผู้พิการทางร่างกาย มีโรคภัยไข้เจ็บหรือความสูงวัยย่อมได้รับความคุ้มครองจากรัฐตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
มาตรา ๒๕ ประชาชนทุกคนมีสิทธิในการรับราชการตามที่กฎหมายกำหนดไว้
 
(6) รัฐมุ่งที่จะป้องกันภัยพิบัติ และคุ้มครองประชาชนจากภัยอันตราย
มาตรา ๒๖ (๑) ประชาชนทุกคนมีสิทธิในการร้องเรียนเป็นลายลักษณ์อักษรต่อหน่วยงานของรัฐ
 
=== มาตรา 35 ===
ตามที่รัฐธรรมนูญและกฎหมายกำหนด
(1) ประชาชนทุกคนมีสิทธิที่จะมีสุขภาพที่ดีและสามารถดำรงชีวิตในสภาพแวดล้อมที่ดีรัฐและประชาชนจะต้องพยายามรักษาสิ่งแวดล้อม
 
(2) รายละเอียดและการดำเนินการตามสิทธิทางสิ่งแวดล้อมให้เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด
(๒) รัฐมีหน้าที่ในการตรวจสอบเกี่ยวกับการร้องเรียนนั้น
 
มาตรา ๒๗ (3) รัฐมุ่งให้ประชาชนทุกคนได้มีสิทธิที่จะได้รับอยู่อาศัยที่ดีผ่านนโยบายการพิจารณาคดีตามกฎหมาย โดยผู้พิพากษาพัฒนาที่อยู่อาศัย
 
=== มาตรา 36 ===
มีอำนาจหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญและกฎหมาย
(1) ชีวิตสมรสและชีวิตครอบครัวจะต้องถูกสร้างขึ้นและดำรงอยู่บนพื้นฐานของศักดิ์ศรีและความเสมอภาคทางเพศของแต่ละคน และรัฐจะต้องดำเนินการเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์นั้น
 
(2) รัฐต้องมุ่งที่จะคุ้มครองความเป็นมารดา
(๒) บุคคลที่มิได้รับราชการทหาร หรือเป็นลูกจ้างของหน่วยราชการทหารไม่ต้องได้รับการ
 
(3) สุขภาพของประชาชนทุกคนจะต้องได้รับความคุ้มครองจากรัฐ
พิจารณาคดีในศาลทหารภายใต้เขตอาณาบริเวณของสาธารณรัฐเกาหลี เว้นแต่ในกรณีที่เป็นการก่ออาชญากรรม
 
=== มาตรา 37 ===
ตามที่บัญญัติไว้ในกฎหมายเกี่ยวกับข้อมูลความลับทางการทหารที่สำคัญ ทหารยาม การเฝ้ายาม การจำหน่าย
(1) สิทธิและเสรีภาพของพลเมืองจะต้องไม่ถูกละเลยด้วยเหตุผลที่รัฐธรรมนูญไม่ได้บัญญัติไว้
 
(2) สิทธิเสรีภาพและของพลเมืองสามารถถูกจำกัดได้ตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย ในกรณีที่จำเป็น ทั้งนี้ เพื่อความมั่นคงของรัฐการคงไว้ซึ่งระเบียบปฏิบัติของรัฐและสวัสดิการของประชาชน และถึงแม้ว่าเสรีภาพและสิทธิของพลเมืองจะถูกจำกัด แต่เสรีภาพและสิทธิขั้นพื้นฐานจะต้องไม่ถูกละเมิด
อาหารและเครื่องดื่มที่เป็นพิษ เป็นเชลยศึก และในกรณีที่มีการประกาศกฎอัยการศึก
 
=== มาตรา 38 ===
(๓) ประชาชนทุกคนมีสิทธิที่จะได้รับการพิจารณาคดีด้วยความรวดเร็ว ผู้ต้องหาในคดีอาญา
ประชาชนทุกคนมีหน้าที่ในการชำระภาษีภายใต้กฎหมายกำหนด
 
=== มาตรา 39 ===
มีสิทธิที่จะได้รับการพิจารณาคดีโดยเปิดเผยอย่างไม่ล่าช้าหากไม่มีเหตุผลอันสมควร
(1) ประชาชนทุกคนมีหน้าที่ในการป้องกันประเทศตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
 
(2) บุคคลผู้ปฏิบัติหน้าที่รับใช้ชาติจะต้องไม่ได้รับการดูแลที่ไม่เป็นธรรม
(๔) ผู้ต้องหาในคดีอาญาจะได้รับการสันนิษฐานว่าเป็นผู้บริสุทธิ์จนกระทั่งจะมีการตัดสิน
 
== หมวด 3 รัฐสภา ==
ว่ามีความผิดอย่างชัดเจน
 
=== มาตรา 40 ===
(๕) ผู้เสียหายในคดีอาญาสามารถให้ปากคำในชั้นศาลตามที่กฎหมายกำหนดได้
อำนาจนิติบัญญัติเป็นของรัฐสภา
 
=== มาตรา 41 ===
(1) รัฐสภาประกอบด้วยสมาชิกที่มาจากการเลือกตั้งผ่านการลงคะแนนโดยทั่วไปโดยตรงโดยเสมอภาค โดยไม่เปิดเผยของประชาชน
 
(2) จำนวนสมาชิกรัฐสภาได้กำหนดไว้ในกฎหมาย โดยมีจำนวน 200 คน ขึ้นไป
มาตรา ๒๘ ในกรณีที่ผู้ต้องหา หรือผู้ต้องสงสัยในคดีอาญาผู้ซึ่งถูกคุมขังอยู่แล้ว ได้รับการยกฟ้อง หรือ
 
(3) รายละเอียดเกี่ยวกับการเลือกตั้งสมาชิกรัฐสภาแบบแบ่งเขตการเลือกตั้ง และแบบระบบสัดส่วนให้กำหนดไว้ในกฎหมาย
ถูกตัดสินว่าไม่มีความผิดตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย ผู้ต้องหา หรือผู้ต้องสงสัยในคดีอาญาสามารถเรียกร้อง
 
=== มาตรา 42 ===
ค่าชดเชยเป็นจำนวนที่เหมาะสมต่อรัฐได้ตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
สมาชิกรัฐสภาจะอยู่ในตำแหน่งคราวละ 4 ปี
 
=== มาตรา 43 ===
มาตรา ๒๙ (๑) บุคคลที่ได้รับความเสียหายจากการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบของข้าราชการ หรือ
สมาชิกรัฐสภาไม่สามารถประกอบอาชีพอื่นได้ในระหว่างที่อยู่ในวาระการดำรงตำแหน่ง
 
=== มาตรา 44 ===
เจ้าหน้าที่รัฐ สามารถเรียกร้องค่าชดเชยจากรัฐ หรือจากองค์กรของรัฐได้ภายใต้บทบัญญัติแห่งกฎหมาย และ
(1) ในระหว่างสมัยประชุม สมาชิกรัฐสภาจะต้องไม่ถูกจับกุมหรือถูกควบคุมตัว โดยปราศจากความยินยอมของรัฐสภา เว้นแต่กรณีที่เป็นความผิดซึ่งหน้า
 
(2) ในกรณีที่สมาชิกรัฐสภาถูกจับกุมหรือถูกควบคุมตัวก่อนเปิดสมัยประชุม สมาชิกรัฐสภาผู้นั้นจะต้องได้รับการปล่อยตัวในระหว่างสมัยประชุมตามการร้องขอของรัฐสภา เว้นแต่กรณีที่เป็นความผิดซึ่งหน้า
หน่วยงาน เจ้าหน้าที่รัฐจะต้องร่วมรับผิดชอบหนี้สินดังกล่าวด้วย
 
=== มาตรา 45 ===
(๒) ในกรณีที่เป็นทหาร บุคคลที่ทำงานในหน่วยราชการทหาร ข้าราชการตำรวจ หรืออื่นๆ
เมื่ออยู่นอกเขตรัฐสภาสมาชิกรัฐสภาไม่มีหน้าที่รับผิดชอบเกี่ยวกับการแสดงความคิดเห็นตามหน้าที่ หรือการลงคะแนนเสียงอย่างเป็นทางการที่กระทำภายในรัฐสภา
 
=== มาตรา 46 ===
ตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายได้รับความเสียหายอันเนื่องมาจากการทำสงคราม การฝึกซ้อม การปฏิบัติหน้าที่อื่นๆ
(1) สมาชิกรัฐสภาต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต
 
(2) สมาชิกรัฐสภาต้องนึกถึงผลประโยชน์ของประเทศเป็นสำคัญ และจะต้องปฏิบัติหน้าที่ให้สอดคล้องตามหลักมโนธรรม
บุคคลนั้นจะไม่ได้รับสิทธิในการเรียกร้องค่าเสียหายต่อรัฐ หรือต่อองค์กรของรัฐเนื่องจากเจ้าหน้าที่รัฐกระทำ
 
(3) สมาชิกรัฐสภาจะต้องไม่กระทำการโดยใช้ตำแหน่ง สิทธิ และแสวงหาผลประโยชน์ในทรัพย์สิน หรือในตำแหน่งโดยมิชอบ หรือการช่วยให้ผู้อื่นได้มาซึ่งผลประโยชน์ในแบบเดียวกัน โดยอาศัยวิธีการทำสัญญากับหรือการควบคุมรัฐ องค์กรภาครัฐหรือกลุ่มธุรกิจต่างๆ
อันมิชอบด้วยกฎหมาย แต่จะมีสิทธิที่จะได้รับค่าชดเชยตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
 
=== มาตรา 47 ===
มาตรา ๓๐ บุคคลที่ได้รับความเสียหายจนถึงแก่ชีวิต หรือความเสียหายทางร่างกาย เนื่องจาก
(1) การประชุมรัฐสภาสมัยสามัญถูกจัดให้มีขึ้นปีละ 1 ครั้ง ตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายและการประชุมรัฐสภาสมัยวิสามัญจะมีขึ้นตามการร้องขอของประธานาธิบดี หรือสมาชิกรัฐสภาจำนวน 1 ใน 4 ขึ้นไปของสมาชิกรัฐสภาทั้งหมด
 
(2) สมัยประชุมสามัญของรัฐสภาสมัยๆ หนึ่ง มีกำหนดเวลา 100 วัน และสมัยประชุมวิสามัญมีกำหนดเวลาไม่เกิน 30 วัน
การกระทำความผิดทางอาญาของผู้อื่น สามารถได้รับความช่วยเหลือจากรัฐตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
 
(3) หากประธานาธิบดีเรียกร้องให้เปิดประชุมสมัยวิสามัญ จะต้องระบุช่วงเวลาในการประชุมและเหตุผลในการขอเรียกประชุมให้ชัดเจน
มาตรา ๓๑ (๑) ประชาชนทุกคนมีสิทธิที่จะได้รับการศึกษาอย่างเท่าเทียมกันตามความสามารถของ
 
=== มาตรา 48 ===
แต่ละบุคคล
รัฐสภาเลือกประธานรัฐสภาได้ จำนวน 1 คน และรองประธานรัฐสภา จำนวน 2 คน
 
=== มาตรา 49 ===
(๒) ประชาชนทุกคนมีหน้าที่ในการให้บุตรหลานในการปกครองได้รับการศึกษาอย่างน้อยที่สุด
ในกรณีที่นอกเหนือจากบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ หรือกฎหมายที่มิได้กำหนดไว้ให้รัฐสภาผ่านความเห็นชอบด้วยคะแนนเสียงของสมาชิกรัฐสภาเกินกึ่งหนึ่งของสมาชิกทั้งหมด และสมาชิกที่เข้าร่วมประชุมลงมติเห็นชอบด้วยคะแนนเสียงเกินครึ่ง และข้อเสนอนั้นเป็นอันตกไป หากมีคะแนนเสียงจำนวนเท่ากัน
 
=== มาตรา 50 ===
ในระดับชั้นประถมศึกษาตามที่กฎหมายกำหนด
(1) การประชุมรัฐสภาเป็นการประชุมแบบเปิดเผย เว้นแต่ในกรณีที่จำนวนสมาชิกที่เข้าร่วมประชุมลงมติเห็นชอบมีคะแนนเสียงเกินครึ่งหนึ่ง หรือในกรณีที่ประธานรัฐสภาเห็นว่าจำเป็นเพื่อความปลอดภัยของประเทศ การประชุมนั้นจะไม่สามารถดำเนินการแบบเปิดเผยได้
 
(2) ในส่วนของการเผยแพร่รายละเอียดของการประชุมที่ไม่เป็นที่เปิดเผยอย่างเป็นทางการให้เป็นไปตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
(๓) การศึกษาภาคบังคับไม่เสียค่าใช้จ่าย
 
=== มาตรา 51 ===
(๔) ความเป็นอิสระ เทคนิค ความเป็นกลางทางการเมืองของการศึกษา และความเป็นอิสระ
ร่างกฎหมาย หรือข้อเสนออื่นที่ได้รับการเสนอไปยังรัฐสภาจะไม่ถูกเพิกถอน ด้วยเหตุผลว่าร่างกฎหมายหรือข้อเสนอนั้นไม่สามารถลงมติในระหว่างสมัยประชุม เว้นแต่ในกรณีที่วาระการดำรงตำแหน่งของสมาชิกรัฐสภาสิ้นสุดลง
 
=== มาตรา 52 ===
ของมหาวิทยาลัยจะได้รับการรับประกันภายใต้เงื่อนไขที่กฎหมายกำหนด
สมาชิกรัฐสภาและรัฐบาลสามารถเสนอร่างกฎหมายได้
 
=== มาตรา 53 ===
(๕) รัฐต้องให้การสนับสนุนการเรียนรู้ตลอดชีวิต
(1) ร่างกฎหมายที่ผ่านการลงมติจากรัฐสภาจะถูกส่งไปยังรัฐบาล และประธานาธิบดีจะประกาศใช้กฎหมายดังกล่าวภายใน 15 วัน
 
(2) ในกรณีที่มีผู้คัดค้านร่างกฎหมาย ประธานาธิบดีจะตีกลับร่างกฎหมายดังกล่าวพร้อมแนบหนังสือแสดงการคัดค้านร่างกฎหมายไปยังรัฐสภา ภายในระยะที่กำหนดไว้ใน (1) และร้องขอให้ทำการพิจารณาใหม่อีกครั้ง และจะดำเนินการแบบเดียวกันนี้ในระหว่างปิดสมัยประชุมด้วยเช่นกัน
(๖) ระบบการศึกษาที่รวมถึงการศึกษาในสถาบันการศึกษาและการเรียนรู้ตลอดชีวิต
 
(3) ประธานาธิบดีไม่สามารถแก้ไขร่างกฎหมาย แล้วร้องขอให้ทำการพิจารณาร่างกฎหมายนั้นใหม่อีกครั้งได้
และการบริหารจัดการ การเงิน และรายละเอียดเกี่ยวกับสถานภาพของบุคลากรทางการศึกษาได้กำหนดไว้
 
(4) รัฐสภาจะพิจารณาร่างกฎหมายใหม่อีกครั้งในกรณีที่มีการร้อง โดยรัฐสภาต้องผ่านความเห็นชอบให้มีการพิจารณาด้วยคะแนนเสียงของสมาชิกรัฐสภาเกินกึ่งหนึ่งของสมาชิกทั้งหมด และการผ่านร่างกฎหมายด้วยคะแนนไม่น้อยกว่า 2 ใน 3 ของสมาชิกทั้งหมด
ในกฎหมาย
 
(5) ในกรณีที่ประธานาธิบดีไม่ประกาศใช้กฎหมาย หรือไม่ร้องขอรัฐสภาให้ทำการพิจารณาร่างกฎหมายใหม่ภายในเวลาตาม (1) ร่างกฎหมายนั้นจะเป็นกฎหมายโดยสมบูรณ์
มาตรา ๓๒ (๑) ประชาชนทุกคนมีสิทธิในการทำงาน รัฐจะต้องมุ่งในการสนับสนุนการจ้างแรงงาน
 
(6) ประธานาธิบดีต้องประกาศใช้กฎหมายที่ได้รับการรับรองตาม (1) และ (5) โดยไม่ชักช้าและหากประธานาธิบดีไม่ประกาศใช้กฎหมายภายในห้าวันภายหลังจากที่ร่างกฎหมายนั้นได้รับการรับรองเป็นกฎหมายแล้วตาม (5) หรือภายหลังที่ร่างกฎหมายนั้นถูกตีกลับไปยังรัฐบาลตาม (4) ประธานรัฐสภาจะประกาศใช้กฎหมายนั้นเอง
และมุ่งในการรับประกันค่าจ้างแรงงานที่เหมาะสมด้วยวิธีการทางสังคมและเศรษฐกิจ และจะต้องบังคับใช้
 
(7) กฎหมายจะมีผลบังคับใช้ 20 วัน นับจากวันที่ประกาศ
ระบบค่าแรงขั้นต่ำภายใต้เงื่อนไขที่กำหนดตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
 
=== มาตรา 54 ===
(๒) ประชาชนทุกคนมีหน้าที่ในการทำงาน รัฐได้กำหนดรายละเอียดและเงื่อนไขของ
(1) รัฐสภาทำหน้าที่พิจารณาและกำหนดร่างงบประมาณของประเทศ
 
(2) รัฐบาลจะจัดทำร่างงบประมาณประจำปีงบประมาณ และนำเสนอให้รัฐสภาภายใน 90 วันก่อนเริ่มปีงบประมาณใหม่ รัฐสภาต้องผ่านร่างงบประมาณดังกล่าวภายใน 30 วัน ก่อนเริ่ม ปีงบประมาณใหม่
การปฏิบัติงานที่สอดคล้องกับหลักการทางประชาธิปไตยตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
 
(3) ในกรณีที่ไม่สามารถผ่านร่างงบประมาณก่อนเริ่มปีงบประมาณใหม่ได้ รัฐบาลจะต้องจัดสรรงบประมาณของปีที่ผ่านมาไว้เป็นค่าใช้จ่ายเพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ดังต่อไปนี้ จนกว่ารัฐสภาจะผ่านร่างงบประมาณ
(๓) มาตรฐานของเงื่อนไขในการทำงานให้กำหนดโดยกฎหมายเพื่อรับรองศักดิ์ศรีของ
 
1. การรักษาและการดำเนินการของหน่วยงานและสิ่งอำนวยความสะดวกที่จัดตั้งไว้โดยรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย
ความเป็นมนุษย์
 
2. การดำเนินการเบิกจ่ายตามกฎหมาย
 
3. ความต่อเนื่องของโครงการที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณรายจ่าย
(๔) แรงงานผู้หญิงได้รับความคุ้มครองเป็นพิเศษ และจะต้องไม่ได้รับการเลือกปฏิบัติ
 
=== มาตรา 55 ===
โดยไม่เป็นธรรมทั้งในเรื่องของการจ้างงาน ค่าแรง และเงื่อนไขของการทำงาน
(1) ในกรณีที่จะต้องทำการเบิกจ่ายอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลานานกว่าหนึ่งปีงบประมาณรัฐบาลจะต้องได้รับการอนุมัติจากรัฐสภาในการระบุช่วงเวลารายจ่ายผูกพัน
 
(2) เงินทุนสำรองจะต้องได้รับการอนุมัติจากรัฐสภาทั้งหมด การเบิกจ่ายเงินทุนสำรองจะต้องได้รับการอนุมัติในระหว่างการประชุมรัฐสภาสมัยต่อไป
(๕) แรงงานที่เป็นผู้ที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะได้รับความคุ้มครองเป็นพิเศษ
 
=== มาตรา 56 ===
(๖) ครอบครัวของผู้มีคุณูปการของชาติ ทหารทุพพลภาพ และทหารและตำรวจที่เสียชีวิต
ในกรณีที่รัฐบาลจำเป็นที่จะต้องแก้ไขงบประมาณเพิ่มเติม รัฐบาลจะต้องจัดทำร่างงบประมาณเพิ่มเติมแล้วเสนอต่อรัฐสภา
 
=== มาตรา 57 ===
ในสงครามพึงได้รับโอกาสในการทำงานก่อน ตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
รัฐสภาจะเพิ่มรายการค่าใช้จ่าย หรือสร้างรายการค่าใช้จ่ายอื่นที่นอกเหนือจากงบประมาณที่รัฐบาลเสนอโดยมิได้รับความเห็นชอบจากรัฐบาลไม่ได้
 
=== มาตรา 58 ===
มาตรา ๓๓ (๑) แรงงานมีสิทธิในการเข้าร่วมกลุ่ม และมีสิทธิในการเจรจาต่อรองร่วมกัน สิทธิในการ
ในกรณีที่รัฐบาลมีแผนที่จะออกพันธบัตรรัฐบาล หรือลงนามในสัญญาที่จะก่อให้รัฐเกิดภาระผูกพันทางการเงินนอกงบประมาณ รัฐบาลจะต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภาก่อน
 
=== มาตรา 59 ===
จัดระเบียบอย่างอิสระเพื่อปรับปรุงเงื่อนไขในการทำงานตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
ประเภทและอัตราของภาษีให้เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด
 
=== มาตรา 60 ===
(๒) ผู้ที่เป็นเจ้าหน้าที่ที่กำหนดในกฎหมายเท่านั้นเป็นผู้มีสิทธิในการเข้าร่วมกลุ่ม และ
(1) รัฐสภามีสิทธิในการให้ความเห็นชอบในการลงนามและให้สัตยาบันในสนธิสัญญาเกี่ยวกับความช่วยเหลือซึ่งกันและกัน หรือความมั่นคงร่วมกัน สนธิสัญญาเกี่ยวกับองค์กรระหว่างประเทศที่สำคัญสนธิสัญญาทางไมตรี การค้า และการเดินเรือ สนธิสัญญาเกี่ยวกับข้อจำกัดทางอำนาจอธิปไตย สนธิสัญญาสันติภาพสนธิสัญญาซึ่งจะเป็นภาระผูกพันทางการเงินที่สำคัญทั้งต่อรัฐและประชาชน หรือสนธิสัญญาที่เกี่ยวกับการบัญญัติกฎหมาย
 
(2) รัฐสภามีสิทธิในการเจรจาต่อรองร่วมกัน สิทธิให้ความเห็นชอบในการประกาศสงคราม การจัดระเบียบอย่างอิสระส่งกองกำลังทหาร
 
(๓) สิทธิในการเข้าร่วมกลุ่มของแรงงานที่ปฏิบัติงานด้านการป้องกันรักษาดินแดนตามที่
 
กฎหมายกำหนดจะถูกจำกัด หรือได้รับการปฏิเสธในการเข้าร่วมกลุ่มภายใต้เงื่อนไขตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
 
มาตรา ๓๔ (๑) ประชาชนทุกคนมีสิทธิในการใช้ชีวิตที่สมกับความเป็นมนุษย์
 
(๒) รัฐมีหน้าที่ในการมุ่งสนับสนุนความมั่นคงแห่งสังคม และสวัสดิการทางสังคม
 
(๓) รัฐพึงพยายามส่งเสริมสวัสดิการและสิทธิสตรี
 
(๔) รัฐมีหน้าที่ในการดำเนินนโยบายเพื่อเสริมสร้างสวัสดิการของผู้สูงอายุ และเยาวชน
 
(๕) บุคคลที่ไม่อาจเลี้ยงชีพได้อันเนื่องมาจากการเป็นผู้พิการทางร่างกาย มีโรคภัยไข้เจ็บ
 
หรือความสูงวัยย่อมได้รับความคุ้มครองจากรัฐตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
 
(๖) รัฐมุ่งที่จะป้องกันภัยพิบัติ และคุ้มครองประชาชนจากภัยอันตราย
 
มาตรา ๓๕ (๑) ประชาชนทุกคนมีสิทธิที่จะมีสุขภาพที่ดีและสามารถดำรงชีวิตในสภาพแวดล้อมที่ดี
 
รัฐและประชาชนจะต้องพยายามรักษาสิ่งแวดล้อม
 
(๒) รายละเอียดและการดำเนินการตามสิทธิทางสิ่งแวดล้อมให้เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด
 
(๓) รัฐมุ่งให้ประชาชนทุกคนได้มีที่อยู่อาศัยที่ดีผ่านนโยบายการพัฒนาที่อยู่อาศัย
 
มาตรา ๓๖ (๑) ชีวิตสมรสและชีวิตครอบครัวจะต้องถูกสร้างขึ้นและดำรงอยู่บนพื้นฐานของศักดิ์ศรี
 
และความเสมอภาคทางเพศของแต่ละคน และรัฐจะต้องดำเนินการเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์นั้น
 
(๒) รัฐต้องมุ่งที่จะคุ้มครองความเป็นมารดา
 
(๓) สุขภาพของประชาชนทุกคนจะต้องได้รับความคุ้มครองจากรัฐ
 
มาตรา ๓๗ (๑) สิทธิและเสรีภาพของพลเมืองจะต้องไม่ถูกละเลยด้วยเหตุผลที่รัฐธรรมนูญไม่ได้บัญญัติไว้
 
(๒) สิทธิเสรีภาพและของพลเมืองสามารถถูกจำกัดได้ตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย ในกรณี
 
ที่จำเป็น ทั้งนี้ เพื่อความมั่นคงของรัฐการคงไว้ซึ่งระเบียบปฏิบัติของรัฐและสวัสดิการของประชาชน และถึงแม้ว่า
 
เสรีภาพและสิทธิของพลเมืองจะถูกจำกัด แต่เสรีภาพและสิทธิขั้นพื้นฐานจะต้องไม่ถูกละเมิด
 
 
มาตรา ๓๘ ประชาชนทุกคนมีหน้าที่ในการชำระภาษีภายใต้กฎหมายกำหนด
 
มาตรา ๓๙ (๑) ประชาชนทุกคนมีหน้าที่ในการป้องกันประเทศตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
 
(๒) บุคคลผู้ปฏิบัติหน้าที่รับใช้ชาติจะต้องไม่ได้รับการดูแลที่ไม่เป็นธรรม
 
หมวด ๓
 
รัฐสภา
 
มาตรา ๔๐ อำนาจนิติบัญญัติเป็นของรัฐสภา
 
มาตรา ๔๑ (๑) รัฐสภาประกอบด้วยสมาชิกที่มาจากการเลือกตั้งผ่านการลงคะแนนโดยทั่วไปโดยตรง
 
โดยเสมอภาค โดยไม่เปิดเผยของประชาชน
 
(๒) จำนวนสมาชิกรัฐสภาได้กำหนดไว้ในกฎหมาย โดยมีจำนวน ๒๐๐ คน ขึ้นไป
 
(๓) รายละเอียดเกี่ยวกับการเลือกตั้งสมาชิกรัฐสภาแบบแบ่งเขตการเลือกตั้ง และแบบ
 
ระบบสัดส่วนให้กำหนดไว้ในกฎหมาย
 
มาตรา ๔๒ สมาชิกรัฐสภาจะอยู่ในตำแหน่งคราวละ ๔ ปี
 
มาตรา ๔๓ สมาชิกรัฐสภาไม่สามารถประกอบอาชีพอื่นได้ในระหว่างที่อยู่ในวาระการดำรงตำแหน่ง
 
มาตรา ๔๔ (๑) ในระหว่างสมัยประชุม สมาชิกรัฐสภาจะต้องไม่ถูกจับกุมหรือถูกควบคุมตัว โดยปราศจาก
 
ความยินยอมของรัฐสภา เว้นแต่กรณีที่เป็นความผิดซึ่งหน้า
 
(๒) ในกรณีที่สมาชิกรัฐสภาถูกจับกุมหรือถูกควบคุมตัวก่อนเปิดสมัยประชุม สมาชิกรัฐสภาผู้นั้น
 
จะต้องได้รับการปล่อยตัวในระหว่างสมัยประชุมตามการร้องขอของรัฐสภา เว้นแต่กรณีที่เป็นความผิดซึ่งหน้า
 
มาตรา ๔๕ เมื่ออยู่นอกเขตรัฐสภาสมาชิกรัฐสภาไม่มีหน้าที่รับผิดชอบเกี่ยวกับการแสดงความคิดเห็น
 
ตามหน้าที่ หรือการลงคะแนนเสียงอย่างเป็นทางการที่กระทำภายในรัฐสภา
 
มาตรา ๔๖ (๑) สมาชิกรัฐสภาต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต
 
(๒) สมาชิกรัฐสภาต้องนึกถึงผลประโยชน์ของประเทศเป็นสำคัญ และจะต้องปฏิบัติหน้าที่
 
ให้สอดคล้องตามหลักมโนธรรม
 
(๓) สมาชิกรัฐสภาจะต้องไม่กระทำการโดยใช้ตำแหน่ง สิทธิ และแสวงหาผลประโยชน์
 
ในทรัพย์สิน หรือในตำแหน่งโดยมิชอบ หรือการช่วยให้ผู้อื่นได้มาซึ่งผลประโยชน์ในแบบเดียวกัน โดยอาศัย
 
วิธีการทำสัญญากับหรือการควบคุมรัฐ องค์กรภาครัฐหรือกลุ่มธุรกิจต่างๆ
 
 
มาตรา ๔๗ (๑) การประชุมรัฐสภาสมัยสามัญถูกจัดให้มีขึ้นปีละ ๑ ครั้ง ตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
 
และการประชุมรัฐสภาสมัยวิสามัญจะมีขึ้นตามการร้องขอของประธานาธิบดี หรือสมาชิกรัฐสภาจำนวน ๑ ใน ๔ ขึ้นไป
 
ของสมาชิกรัฐสภาทั้งหมด
 
(๒) สมัยประชุมสามัญของรัฐสภาสมัยๆ หนึ่ง มีกำหนดเวลา ๑๐๐ วัน และสมัยประชุมวิสามัญ
 
มีกำหนดเวลาไม่เกิน ๓๐ วัน
 
(๓) หากประธานาธิบดีเรียกร้องให้เปิดประชุมสมัยวิสามัญ จะต้องระบุช่วงเวลาในการประชุม
 
และเหตุผลในการขอเรียกประชุมให้ชัดเจน
 
มาตรา ๔๘ รัฐสภาเลือกประธานรัฐสภาได้ จำนวน ๑ คน และรองประธานรัฐสภา จำนวน ๒ คน
 
มาตรา ๔๙ ในกรณีที่นอกเหนือจากบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ หรือกฎหมายที่มิได้กำหนดไว้
 
ให้รัฐสภาผ่านความเห็นชอบด้วยคะแนนเสียงของสมาชิกรัฐสภาเกินกึ่งหนึ่งของสมาชิกทั้งหมด และสมาชิก
 
ที่เข้าร่วมประชุมลงมติเห็นชอบด้วยคะแนนเสียงเกินครึ่ง และข้อเสนอนั้นเป็นอันตกไป หากมีคะแนนเสียง
 
จำนวนเท่ากัน
 
มาตรา ๕๐ (๑) การประชุมรัฐสภาเป็นการประชุมแบบเปิดเผย เว้นแต่ในกรณีที่จำนวนสมาชิก
 
ที่เข้าร่วมประชุมลงมติเห็นชอบมีคะแนนเสียงเกินครึ่งหนึ่ง หรือในกรณีที่ประธานรัฐสภาเห็นว่าจำเป็น
 
เพื่อความปลอดภัยของประเทศ การประชุมนั้นจะไม่สามารถดำเนินการแบบเปิดเผยได้
 
(๒) ในส่วนของการเผยแพร่รายละเอียดของการประชุมที่ไม่เป็นที่เปิดเผยอย่างเป็นทางการ
 
ให้เป็นไปตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
 
มาตรา ๕๑ ร่างกฎหมาย หรือข้อเสนออื่นที่ได้รับการเสนอไปยังรัฐสภาจะไม่ถูกเพิกถอน ด้วยเหตุผลว่า
 
ร่างกฎหมายหรือข้อเสนอนั้นไม่สามารถลงมติในระหว่างสมัยประชุม เว้นแต่ในกรณีที่วาระการดำรงตำแหน่ง
 
ของสมาชิกรัฐสภาสิ้นสุดลง
 
มาตรา ๕๒ สมาชิกรัฐสภาและรัฐบาลสามารถเสนอร่างกฎหมายได้
 
มาตรา ๕๓ (๑) ร่างกฎหมายที่ผ่านการลงมติจากรัฐสภาจะถูกส่งไปยังรัฐบาล และประธานาธิบดี
 
จะประกาศใช้กฎหมายดังกล่าวภายใน ๑๕ วัน
 
(๒) ในกรณีที่มีผู้คัดค้านร่างกฎหมาย ประธานาธิบดีจะตีกลับร่างกฎหมายดังกล่าว
 
พร้อมแนบหนังสือแสดงการคัดค้านร่างกฎหมายไปยังรัฐสภา ภายในระยะที่กำหนดไว้ใน (๑) และร้องขอให้
 
ทำการพิจารณาใหม่อีกครั้ง และจะดำเนินการแบบเดียวกันนี้ในระหว่างปิดสมัยประชุมด้วยเช่นกัน
 
(๓) ประธานาธิบดีไม่สามารถแก้ไขร่างกฎหมาย แล้วร้องขอให้ทำการพิจารณาร่างกฎหมาย
 
นั้นใหม่อีกครั้งได้
 
๑๐
 
(๔) รัฐสภาจะพิจารณาร่างกฎหมายใหม่อีกครั้งในกรณีที่มีการร้อง โดยรัฐสภาต้องผ่านความ
 
เห็นชอบให้มีการพิจารณาด้วยคะแนนเสียงของสมาชิกรัฐสภาเกินกึ่งหนึ่งของสมาชิกทั้งหมด และการผ่าน
 
ร่างกฎหมายด้วยคะแนนไม่น้อยกว่า ๒ ใน ๓ ของสมาชิกทั้งหมด
 
(๕) ในกรณีที่ประธานาธิบดีไม่ประกาศใช้กฎหมาย หรือไม่ร้องขอรัฐสภาให้ทำการพิจารณา
 
ร่างกฎหมายใหม่ภายในเวลาตาม (๑) ร่างกฎหมายนั้นจะเป็นกฎหมายโดยสมบูรณ์
 
(๖) ประธานาธิบดีต้องประกาศใช้กฎหมายที่ได้รับการรับรองตาม (๑) และ (๕) โดยไม่ชักช้า
 
และหากประธานาธิบดีไม่ประกาศใช้กฎหมายภายในห้าวันภายหลังจากที่ร่างกฎหมายนั้นได้รับการรับรอง
 
เป็นกฎหมายแล้วตาม (๕) หรือภายหลังที่ร่างกฎหมายนั้นถูกตีกลับไปยังรัฐบาลตาม (๔) ประธานรัฐสภา
 
จะประกาศใช้กฎหมายนั้นเอง
 
(๗) กฎหมายจะมีผลบังคับใช้ ๒๐ วัน นับจากวันที่ประกาศ
 
มาตรา ๕๔ (๑) รัฐสภาทำหน้าที่พิจารณาและกำหนดร่างงบประมาณของประเทศ
 
(๒) รัฐบาลจะจัดทำร่างงบประมาณประจำปีงบประมาณ และนำเสนอให้รัฐสภาภายใน ๙๐ วัน
 
ก่อนเริ่มปีงบประมาณใหม่ รัฐสภาต้องผ่านร่างงบประมาณดังกล่าวภายใน ๓๐ วัน ก่อนเริ่ม ปีงบประมาณใหม่
 
(๓) ในกรณีที่ไม่สามารถผ่านร่างงบประมาณก่อนเริ่มปีงบประมาณใหม่ได้ รัฐบาลจะต้อง
 
จัดสรรงบประมาณของปีที่ผ่านมาไว้เป็นค่าใช้จ่ายเพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ดังต่อไปนี้ จนกว่ารัฐสภา
 
จะผ่านร่างงบประมาณ
 
๑. การรักษาและการดำเนินการของหน่วยงานและสิ่งอำนวยความสะดวกที่จัดตั้งไว้
 
โดยรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย
 
๒. การดำเนินการเบิกจ่ายตามกฎหมาย
 
๓. ความต่อเนื่องของโครงการที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณรายจ่าย
 
มาตรา ๕๕ (๑) ในกรณีที่จะต้องทำการเบิกจ่ายอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลานานกว่าหนึ่งปีงบประมาณ
 
รัฐบาลจะต้องได้รับการอนุมัติจากรัฐสภาในการระบุช่วงเวลารายจ่ายผูกพัน
 
(๒) เงินทุนสำรองจะต้องได้รับการอนุมัติจากรัฐสภาทั้งหมด การเบิกจ่ายเงินทุนสำรอง
 
จะต้องได้รับการอนุมัติในระหว่างการประชุมรัฐสภาสมัยต่อไป
 
มาตรา ๕๖ ในกรณีที่รัฐบาลจำเป็นที่จะต้องแก้ไขงบประมาณเพิ่มเติม รัฐบาลจะต้องจัดทำ
 
ร่างงบประมาณเพิ่มเติมแล้วเสนอต่อรัฐสภา
 
มาตรา ๕๗ รัฐสภาจะเพิ่มรายการค่าใช้จ่าย หรือสร้างรายการค่าใช้จ่ายอื่นที่นอกเหนือจากงบประมาณ
 
ที่รัฐบาลเสนอโดยมิได้รับความเห็นชอบจากรัฐบาลไม่ได้
 
๑๑
 
มาตรา ๕๘ ในกรณีที่รัฐบาลมีแผนที่จะออกพันธบัตรรัฐบาล หรือลงนามในสัญญาที่จะก่อให้รัฐ
 
เกิดภาระผูกพันทางการเงินนอกงบประมาณ รัฐบาลจะต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภาก่อน
 
มาตรา ๕๙ ประเภทและอัตราของภาษีให้เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด
 
มาตรา ๖๐ (๑) รัฐสภามีสิทธิในการให้ความเห็นชอบในการลงนามและให้สัตยาบันในสนธิสัญญา
 
เกี่ยวกับความช่วยเหลือซึ่งกันและกัน หรือความมั่นคงร่วมกัน สนธิสัญญาเกี่ยวกับองค์กรระหว่างประเทศที่สำคัญ
 
สนธิสัญญาทางไมตรี การค้า และการเดินเรือ สนธิสัญญาเกี่ยวกับข้อจำกัดทางอำนาจอธิปไตย สนธิสัญญาสันติภาพ
 
สนธิสัญญาซึ่งจะเป็นภาระผูกพันทางการเงินที่สำคัญทั้งต่อรัฐและประชาชน หรือสนธิสัญญาที่เกี่ยวกับ
 
การบัญญัติกฎหมาย
 
(๒) รัฐสภามีสิทธิในการให้ความเห็นชอบในการประกาศสงคราม การจัดส่งกองกำลังทหาร
 
ไปยังต่างประเทศ หรือการประจำกองกำลังต่างชาติในอาณาธิปไตยของสาธารณรัฐเกาหลี
 
=== มาตรา 61 ===
มาตรา ๖๑ (๑) รัฐสภาสามารถตรวจสอบการบริหารประเทศ หรือพิจารณาสืบสวนเกี่ยวกับการ
(1) รัฐสภาสามารถตรวจสอบการบริหารประเทศ หรือพิจารณาสืบสวนเกี่ยวกับการบริหารประเทศในเรื่องที่เฉพาะเจาะจง และสามารถร้องขอให้ส่งเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้องหรือเรียกพบพยานและสามารถร้องขอคำให้การของพยาน หรือการให้ความเห็นได้
 
(2) กระบวนการ และขั้นตอนที่จำเป็นอื่นๆ เกี่ยวกับการตรวจสอบ และการสืบสวนการบริหารประเทศให้เป็นตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
บริหารประเทศในเรื่องที่เฉพาะเจาะจง และสามารถร้องขอให้ส่งเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้องหรือเรียกพบพยาน
 
=== มาตรา 62 ===
และสามารถร้องขอคำให้การของพยาน หรือการให้ความเห็นได้
(1) นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี หรือคณะรัฐบาลสามารถเข้าร่วมการประชุมรัฐสภา หรือการประชุมคณะกรรมาธิการ และรายงานเกี่ยวกับการบริหารจัดการประเทศ หรือแสดงความเห็นและตอบข้อซักถามได้
 
(2) ในกรณีที่รัฐสภา หรือคณะกรรมาธิการของรัฐสภามีข้อซักถาม นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีหรือคณะรัฐบาลจะต้องเข้าร่วมประชุมรัฐสภา และตอบข้อซักถาม ในกรณีที่นายกรัฐมนตรี หรือคณะรัฐมนตรีได้รับการร้องขอให้เข้าร่วมการประชุมรัฐสภา นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีต้องเข้าร่วมการประชุมรัฐสภาและตอบข้อซักถามนั้น
(๒) กระบวนการ และขั้นตอนที่จำเป็นอื่นๆ เกี่ยวกับการตรวจสอบ และการสืบสวน
 
=== มาตรา 63 ===
การบริหารประเทศให้เป็นตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
(1) รัฐสภาสามารถเสนอความเห็นเกี่ยวกับการถอดถอนนายกรัฐมนตรี หรือคณะรัฐมนตรีออกจากตำแหน่งได้
 
(2) การเสนอถอดถอนตาม (1) จะต้องถูกเสนอด้วยจำนวนสมาชิกหนึ่งในสามของสมาชิกทั้งหมดและจะต้องมีสมาชิกรัฐสภาเกินครึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดให้ความเห็นชอบ
มาตรา ๖๒ (๑) นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี หรือคณะรัฐบาลสามารถเข้าร่วมการประชุมรัฐสภา หรือการประชุม
 
=== มาตรา 64 ===
คณะกรรมาธิการ และรายงานเกี่ยวกับการบริหารจัดการประเทศ หรือแสดงความเห็นและตอบข้อซักถามได้
(1) รัฐสภากำหนดกฎข้อบังคับเกี่ยวกับกระบวนการพิจารณาและกฎระเบียบภายในที่ไม่ขัดต่อกฎหมาย
 
(2) รัฐสภาสามารถตรวจสอบคุณสมบัติ และลงโทษสมาชิกได้
(๒) ในกรณีที่รัฐสภา หรือคณะกรรมาธิการของรัฐสภามีข้อซักถาม นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี
 
(3) หากต้องการถอดถอนสมาชิกรัฐสภาออกจากตำแหน่ง ต้องได้รับความเห็นชอบจากสมาชิกรัฐสภาจำนวนไม่น้อยกว่าสองในสามของจำนวนสมาชิกรัฐสภาทั้งหมด
หรือคณะรัฐบาลจะต้องเข้าร่วมประชุมรัฐสภา และตอบข้อซักถาม ในกรณีที่นายกรัฐมนตรี หรือคณะรัฐมนตรีได้รับการ
 
(4) ในส่วนของการดำเนินการตาม (2) และ (3) ไม่สามารถฟ้องร้องต่อศาลได้
ร้องขอให้เข้าร่วมการประชุมรัฐสภา นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีต้องเข้าร่วมการประชุมรัฐสภาและตอบ
 
=== มาตรา 65 ===
ข้อซักถามนั้น
(1) ในกรณีที่ประธานาธิบดี นายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรี หัวหน้าส่วนราชการ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ผู้พิพากษา คณะกรรมการการเลือกตั้งกลาง ประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน ผู้ตรวจการ และเจ้าหน้าที่ของรัฐ ตามที่กฎหมายบัญญัติกระทำการละเมิดรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายในการปฏิบัติงาน รัฐสภาสามารถลงมติเพื่อดำเนินการถอดถอนออกจากตำแหน่งได้
 
(2) การดำเนินการถอดถอนใน (1) จะทำได้ต่อเมื่อมีสมาชิกจำนวน 1 ใน 3 ยื่นเสนอถอดถอนและสมาชิกรัฐสภาจำนวนเกินครึ่งหนึ่งต้องลงมติเห็นชอบให้ทำการถอดถอน ในส่วนของการยื่นถอดถอนประธานาธิบดีออกจากตำแหน่ง จะต้องมีสมาชิกรัฐสภาจำนวนเกินกึ่งหนึ่งยื่นเสนอถอดถอน และสมาชิกรัฐสภาจำนวนไม่น้อยกว่า 2 ใน 3 ของสมาชิกทั้งหมดลงมติเห็นชอบให้ถอดถอน
มาตรา ๖๓ (๑) รัฐสภาสามารถเสนอความเห็นเกี่ยวกับการถอดถอนนายกรัฐมนตรี หรือคณะรัฐมนตรี
 
(3) บุคคลผู้ที่ได้รับการลงมติให้ถูกถอดถอนออกจากตำแหน่ง การใช้อำนาจในตำแหน่งของบุคคลผู้นั้นจะหยุดชะงักลงจนกว่าการยื่นถอดถอนจะได้รับการพิพากษาตัดสิน
ออกจากตำแหน่งได้
 
(4) การพิจารณาถอดถอนจะไม่ขยายผลไปมากกว่าการตัดสินให้พ้นจากตำแหน่ง แต่จะไม่ได้รับการยกเว้นให้ได้รับความผิดทางแพ่งและทางอาญา
(๒) การเสนอถอดถอนตาม (๑) จะต้องถูกเสนอด้วยจำนวนสมาชิกหนึ่งในสามของสมาชิกทั้งหมด
 
== หมวด 4 ==
และจะต้องมีสมาชิกรัฐสภาเกินครึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดให้ความเห็นชอบ
 
=== ส่วนที่ 1 ประธานาธิบดี ===
๑๒
 
==== มาตรา 66 ====
มาตรา ๖๔ (๑) รัฐสภากำหนดกฎข้อบังคับเกี่ยวกับกระบวนการพิจารณาและกฎระเบียบภายในที่ไม่ขัด
(1) ประธานาธิบดีเป็นประมุขของรัฐ และเป็นผู้แทนของรัฐในการติดต่อกับต่างประเทศ
 
(2) ประธานาธิบดี มีหน้าที่พิทักษ์เอกราช บูรณภาพแห่งดินแดนและการสืบเนื่องของรัฐและของรัฐธรรมนูญ
ต่อกฎหมาย
 
(3) ประธานาธิบดีทำหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์ เพื่อรวมมาตุภูมิโดยสันติวิธี
(๒) รัฐสภาสามารถตรวจสอบคุณสมบัติ และลงโทษสมาชิกได้
 
(4) อำนาจบริหารมีประธานาธิบดีเป็นผู้นำรัฐบาล
(๓) หากต้องการถอดถอนสมาชิกรัฐสภาออกจากตำแหน่ง ต้องได้รับความเห็นชอบจาก
 
==== มาตรา 67 ====
สมาชิกรัฐสภาจำนวนไม่น้อยกว่าสองในสามของจำนวนสมาชิกรัฐสภาทั้งหมด
(1) ประธานาธิบดีได้รับการเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชน ซึ่งเป็นการเลือกตั้งทั่วไปอย่างมีความเท่าเทียม และเป็นการลงคะแนนแบบลับ
 
(2) การเลือกตั้งใน (1) ถ้ามีผู้ได้รับคะแนนเสียงเท่ากัน จำนวน 2 คนขึ้นไป ให้ที่ประชุมรัฐสภาลงมติเลือกโดยต้องมีสมาชิกรัฐสภาเข้าร่วมประชุมเกินกึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมด และต้องเป็นการประชุมแบบเปิดเผย ซึ่งผู้ที่ได้คะแนนสูงสุด คือ ผู้ที่ได้รับเลือกให้เป็นประธานาธิบดี
(๔) ในส่วนของการดำเนินการตาม (๒) และ (๓) ไม่สามารถฟ้องร้องต่อศาลได้
 
(3) กรณีที่มีผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีเพียงคนเดียว จำเป็นต้องได้รับคะแนนเสียงมากว่า 1 ใน 3 ของจำนวนผู้ใช้สิทธิ์เลือกตั้งทั้งหมด จึงจะถือว่าเป็นผู้ได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี
มาตรา ๖๕ (๑) ในกรณีที่ประธานาธิบดี นายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรี หัวหน้าส่วนราชการ ตุลาการ
 
(4) ผู้สมัครรับเลือกตั้งประธานาธิบดี ต้องเป็นผู้มีคุณสมบัติออกเสียงเลือกตั้งสมาชิกรัฐสภาและต้องมีอายุเกินกว่า 40 ปีขึ้นไป นับจากวันเลือกตั้ง
ศาลรัฐธรรมนูญ ผู้พิพากษา คณะกรรมการการเลือกตั้งกลาง ประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน ผู้ตรวจการ และเจ้าหน้าที่
 
(5) เรื่องที่เกี่ยวกับการเลือกตั้งประธานาธิบดีให้ปฏิบัติตามที่กฎหมายกำหนด
ของรัฐ ตามที่กฎหมายบัญญัติกระทำการละเมิดรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายในการปฏิบัติงาน รัฐสภาสามารถลงมติ
 
==== มาตรา 68 ====
เพื่อดำเนินการถอดถอนออกจากตำแหน่งได้
(1) เมื่อวาระการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีจะสิ้นสุดลง ให้จัดการเลือกตั้งประธานาธิบดีคนต่อไปล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 40 วัน ของระยะเวลาภายใน 70 วัน ก่อนสิ้นสุดวาระการดำรงตำแหน่ง
 
(2) เมื่อตำแหน่งประธานาธิบดีว่างลงหรือประธานาธิบดีเสียชีวิตลงหรือถูกศาลพิพากษาจนเป็นเหตุให้ขาดคุณสมบัติไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ ให้จัดการเลือกตั้งประธานาธิบดีคนใหม่ ภายใน 60 วัน
(๒) การดำเนินการถอดถอนใน (๑) จะทำได้ต่อเมื่อมีสมาชิกจำนวน ๑ ใน ๓ ยื่นเสนอถอดถอน
 
==== มาตรา 69 ====
และสมาชิกรัฐสภาจำนวนเกินครึ่งหนึ่งต้องลงมติเห็นชอบให้ทำการถอดถอน ในส่วนของการยื่นถอดถอน
ก่อนเข้ารับตำแหน่ง ประธานาธิบดีสาบานตนด้วยถ้อยคำว่า “ข้าพเจ้าขอสาบานตนต่อหน้าประชาชนว่า ข้าพเจ้าจะปฏิบัติหน้าที่ของประธานาธิบดีด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต ตามบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญ พิทักษ์รัฐ พยายามส่งเสริมวัฒนธรรมชาติพันธุ์ ส่งเสริมผลประโยชน์และเสรีภาพประชาชนและร่วมมาตุภูมิโดยสันติวิธี
 
==== มาตรา 70 ====
ประธานาธิบดีออกจากตำแหน่ง จะต้องมีสมาชิกรัฐสภาจำนวนเกินกึ่งหนึ่งยื่นเสนอถอดถอน และสมาชิก
ประธานาธิบดี มีวาระการดำรงตำแหน่ง 5 ปี เพียงหนึ่งสมัยเท่านั้น
 
==== มาตรา 71 ====
รัฐสภาจำนวนไม่น้อยกว่า ๒ ใน ๓ ของสมาชิกทั้งหมดลงมติเห็นชอบให้ถอดถอน
เมื่อตำแหน่งประธานาธิบดีว่างลงหรือประธานาธิบดีไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ นายกรัฐมนตรีหรือคณะรัฐมนตรีตามลำดับตำแหน่งที่กำหนดไว้ในกฎหมายเป็นผู้รักษาการในตำแหน่งประธานาธิบดี
 
==== มาตรา 72 ====
(๓) บุคคลผู้ที่ได้รับการลงมติให้ถูกถอดถอนออกจากตำแหน่ง การใช้อำนาจในตำแหน่ง
ประธานาธิบดี อาจเสนอนโยบายสำคัญของรัฐที่เกี่ยวกับความมั่นคงของรัฐ อาทิการต่างประเทศ การป้องกันประเทศ และการรวมมาตุภูมิ หรือเรื่องอื่นใดหากประธานาธิบดีเห็นเป็นการสมควรโดยให้ประชาชนออกเสียงประชามติ
 
==== มาตรา 73 ====
ของบุคคลผู้นั้นจะหยุดชะงักลงจนกว่าการยื่นถอดถอนจะได้รับการพิพากษาตัดสิน
ประธานาธิบดี มีอำนาจทำสนธิสัญญา ข้อตกลง และให้สัตยาบัน แต่งตั้ง รับมอบ และส่งผู้แทนทางการทูต หรือประกาศสงคราม
 
==== มาตรา 74 ====
(๔) การพิจารณาถอดถอนจะไม่ขยายผลไปมากกว่าการตัดสินให้พ้นจากตำแหน่ง แต่จะ
(1) ประธานาธิบดี เป็นผู้บัญชาการสูงสุดของกองทัพแห่งรัฐ ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญและกฎหมาย
 
(2) การกำหนดและการจัดตั้งกองทัพแห่งรัฐให้เป็นไปตามกฎหมาย
ไม่ได้รับการยกเว้นให้ได้รับความผิดทางแพ่งและทางอาญา
 
==== มาตรา 75 ====
หมวด ๔
ประธานาธิบดี มีอำนาจตรากฤษฎีกาของประธานาธิบดีในเรื่องที่อยู่ภายใต้ขอบเขตที่กฎหมายกำหนดไว้ และเป็นเรื่องที่จำเป็นในการรักษาการให้เป็นไปตามกฎหมาย
 
==== มาตรา 76 ====
ส่วนที่ ๑ ประธานาธิบดี
(1) ในกรณีที่เกิดภยันตรายอย่างร้ายแรงภายในหรือภายนอกประเทศ หรือวิกฤตการณ์ทางการเงิน การคลัง หรือเศรษฐกิจอย่างร้ายแรง เพื่อเป็นการรักษาไว้ซึ่งความสงบเรียบร้อยหรือผลประโยชน์สาธารณะที่อาจได้รับผลกระทบอย่างร้ายแรง จึงมีความจำเป็นต้องดำเนินการโดยเร่งด่วนและไม่อาจรอคอยเวลาเพื่อนำเรื่องเข้าสู่ที่ประชุมรัฐสภาให้พิจารณาได้ ประธานาธิบดีมีอำนาจที่จะดำเนินมาตรการฉุกเฉินที่จำเป็นทั้งปวงในการจัดการเรื่องเศรษฐกิจ การเงิน การคลัง หรือเรื่องอื่นที่มีความจำเป็นเร่งด่วนนั้น
 
(2) ในกรณีที่เกิดภาวะสงครามที่อาจส่งผลกระทบต่อความมั่นคงภายในประเทศ และไม่สามารถเปิดประชุมรัฐสภาได้ ประธานาธิบดีมีอำนาจที่จะดำเนินมาตรการฉุกเฉินได้
มาตรา ๖๖ (๑) ประธานาธิบดีเป็นประมุขของรัฐ และเป็นผู้แทนของรัฐในการติดต่อกับต่างประเทศ
 
(3) เมื่อได้มีการดำเนินการไปตาม (1) และ (2) ให้รายงานเรื่องนั้นต่อรัฐสภา โดยมิชักช้าและรัฐสภาต้องผ่านความเห็นชอบ
(๒) ประธานาธิบดี มีหน้าที่พิทักษ์เอกราช บูรณภาพแห่งดินแดนและการสืบเนื่องของรัฐ
 
(4) ถ้ารัฐสภาไม่ผ่านความเห็นชอบของการดำเนินการ (3) ให้ประธานาธิบดียุติการดำเนินมาตรการฉุกเฉินนั้นทันที เมื่อเหตุที่ทำให้ต้องใช้มาตรการฉุกเฉินนั้นหมดสิ้นไป
และของรัฐธรรมนูญ
 
(5) ประธานาธิบดี ต้องประกาศเหตุแห่งการดำเนินการตาม (3) และ (4) โดยมิชักช้า
(๓) ประธานาธิบดีทำหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์ เพื่อรวมมาตุภูมิโดยสันติวิธี
 
==== มาตรา 77 ====
(๔) อำนาจบริหารมีประธานาธิบดีเป็นผู้นำรัฐบาล
(1) ในยามสงคราม เกิดภัยพิบัติ หรือเหตุฉุกเฉินที่มีลักษณะเดียวกันและมีความจำเป็นต้องใช้กำลังทหาร หรือมีความจำเป็นที่จะต้องรักษาไว้ซึ่งความสงบเรียบร้อยและความมั่นคงให้เกิดขึ้นภายในประเทศประธานาธิบดีมีอำนาจที่จะประกาศภาวะฉุกเฉินตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
 
(2) ภาวะฉุกเฉินอาจเป็นการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินหรือกฎอัยการศึก
มาตรา ๖๗ (๑) ประธานาธิบดีได้รับการเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชน ซึ่งเป็นการเลือกตั้งทั่วไป
 
(3) เมื่อประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินให้ใช้อำนาจกระทำการได้ตามที่กฎหมายกำหนดที่เกี่ยวข้องกับเสรีภาพในการเสนอข่าว เสรีภาพในการพิมพ์ เสรีภาพในการประชุม เสรีภาพในการรวมกันเป็นสมาคมหรือสามารถใช้มาตรการพิเศษเกี่ยวกับสิทธิ อำนาจหน้าที่ของฝ่ายบริหาร หรือฝ่ายตุลาการได้
อย่างมีความเท่าเทียม และเป็นการลงคะแนนแบบลับ
 
(4) เมื่อได้ประกาศภาวะฉุกเฉิน ประธานาธิบดีต้องแจ้งให้รัฐสภาทราบโดยมิชักช้า
(๒) การเลือกตั้งใน (๑) ถ้ามีผู้ได้รับคะแนนเสียงเท่ากัน จำนวน ๒ คนขึ้นไป ให้ที่ประชุม
 
(5) หากที่ประชุมรัฐสภาลงมติเลือกโดยต้องมีสมาชิกรัฐสภาเข้าร่วมประชุมด้วยคะแนนเสียงเกินกึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมด และให้ยกเลิกการประกาศภาวะฉุกเฉินนั้น ประธานาธิบดีต้องเป็นประกาศยกเลิกภาวะฉุกเฉินนั้นโดยมิชักช้า
 
==== มาตรา 78 ====
การประชุมแบบเปิดเผย ซึ่งผู้ที่ได้คะแนนสูงสุด คือ ผู้ที่ได้รับเลือกให้เป็นประธานาธิบดี
ประธานาธิบดี มีอำนาจแต่งตั้งหรือถอดถอนเจ้าหน้าที่รัฐตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญและกฎหมายกำหนด
 
==== มาตรา 79 ====
๑๓
(1) ประธานาธิบดี มีอำนาจอภัยโทษทั้งการปล่อยตัว ลดโทษ หรือคืนสิทธิที่สูญเสียไป
 
(๓) กรณีที่มีผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีเพียงคนเดียว จำเป็นต้องได้รับคะแนนเสียง
 
มากว่า ๑ ใน ๓ ของจำนวนผู้ใช้สิทธิ์เลือกตั้งทั้งหมด จึงจะถือว่าเป็นผู้ได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี
 
(๔) ผู้สมัครรับเลือกตั้งประธานาธิบดี ต้องเป็นผู้มีคุณสมบัติออกเสียงเลือกตั้งสมาชิกรัฐสภา
 
และต้องมีอายุเกินกว่า ๔๐ ปีขึ้นไป นับจากวันเลือกตั้ง
 
(๕) เรื่องที่เกี่ยวกับการเลือกตั้งประธานาธิบดีให้ปฏิบัติตามที่กฎหมายกำหนด
 
มาตรา ๖๘ (๑) เมื่อวาระการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีจะสิ้นสุดลง ให้จัดการเลือกตั้งประธานาธิบดี
 
คนต่อไปล่วงหน้าไม่น้อยกว่า ๔๐ วัน ของระยะเวลาภายใน ๗๐ วัน ก่อนสิ้นสุดวาระการดำรงตำแหน่ง
 
(๒) เมื่อตำแหน่งประธานาธิบดีว่างลงหรือประธานาธิบดีเสียชีวิตลงหรือถูกศาลพิพากษา
 
จนเป็นเหตุให้ขาดคุณสมบัติไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ ให้จัดการเลือกตั้งประธานาธิบดีคนใหม่ ภายใน ๖๐ วัน
 
มาตรา ๖๙ ก่อนเข้ารับตำแหน่ง ประธานาธิบดีสาบานตนด้วยถ้อยคำว่า “ข้าพเจ้าขอสาบานตน
 
ต่อหน้าประชาชนว่า ข้าพเจ้าจะปฏิบัติหน้าที่ของประธานาธิบดีด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต ตามบทบัญญัติ
 
ในรัฐธรรมนูญ พิทักษ์รัฐ พยายามส่งเสริมวัฒนธรรมชาติพันธุ์ ส่งเสริมผลประโยชน์และเสรีภาพประชาชน
 
และร่วมมาตุภูมิโดยสันติวิธี
 
มาตรา ๗๐ ประธานาธิบดี มีวาระการดำรงตำแหน่ง ๕ ปี เพียงหนึ่งสมัยเท่านั้น
 
มาตรา ๗๑ เมื่อตำแหน่งประธานาธิบดีว่างลงหรือประธานาธิบดีไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ นายกรัฐมนตรี
 
หรือคณะรัฐมนตรีตามลำดับตำแหน่งที่กำหนดไว้ในกฎหมายเป็นผู้รักษาการในตำแหน่งประธานาธิบดี
 
มาตรา ๗๒ ประธานาธิบดี อาจเสนอนโยบายสำคัญของรัฐที่เกี่ยวกับความมั่นคงของรัฐ อาทิ
 
การต่างประเทศ การป้องกันประเทศ และการรวมมาตุภูมิ หรือเรื่องอื่นใดหากประธานาธิบดีเห็นเป็นการสมควร
 
โดยให้ประชาชนออกเสียงประชามติ
 
มาตรา ๗๓ ประธานาธิบดี มีอำนาจทำสนธิสัญญา ข้อตกลง และให้สัตยาบัน แต่งตั้ง รับมอบ และ
 
ส่งผู้แทนทางการทูต หรือประกาศสงคราม
 
มาตรา ๗๔ (๑) ประธานาธิบดี เป็นผู้บัญชาการสูงสุดของกองทัพแห่งรัฐ ตามบทบัญญัติของ
 
รัฐธรรมนูญและกฎหมาย
 
(๒) การกำหนดและการจัดตั้งกองทัพแห่งรัฐให้เป็นไปตามกฎหมาย
 
มาตรา ๗๕ ประธานาธิบดี มีอำนาจตรากฤษฎีกาของประธานาธิบดีในเรื่องที่อยู่ภายใต้ขอบเขต
 
ที่กฎหมายกำหนดไว้ และเป็นเรื่องที่จำเป็นในการรักษาการให้เป็นไปตามกฎหมาย
 
๑๔
 
มาตรา ๗๖ (๑) ในกรณีที่เกิดภยันตรายอย่างร้ายแรงภายในหรือภายนอกประเทศ หรือวิกฤตการณ์
 
ทางการเงิน การคลัง หรือเศรษฐกิจอย่างร้ายแรง เพื่อเป็นการรักษาไว้ซึ่งความสงบเรียบร้อยหรือผลประโยชน์สาธารณะ
 
ที่อาจได้รับผลกระทบอย่างร้ายแรง จึงมีความจำเป็นต้องดำเนินการโดยเร่งด่วนและไม่อาจรอคอยเวลาเพื่อนำเรื่อง
 
เข้าสู่ที่ประชุมรัฐสภาให้พิจารณาได้ ประธานาธิบดีมีอำนาจที่จะดำเนินมาตรการฉุกเฉินที่จำเป็นทั้งปวงในการ
 
จัดการเรื่องเศรษฐกิจ การเงิน การคลัง หรือเรื่องอื่นที่มีความจำเป็นเร่งด่วนนั้น
 
(๒) ในกรณีที่เกิดภาวะสงครามที่อาจส่งผลกระทบต่อความมั่นคงภายในประเทศ และ
 
ไม่สามารถเปิดประชุมรัฐสภาได้ ประธานาธิบดีมีอำนาจที่จะดำเนินมาตรการฉุกเฉินได้
 
(๓) เมื่อได้มีการดำเนินการไปตาม (๑) และ (๒) ให้รายงานเรื่องนั้นต่อรัฐสภา โดยมิชักช้า
 
และรัฐสภาต้องผ่านความเห็นชอบ
 
(๔) ถ้ารัฐสภาไม่ผ่านความเห็นชอบของการดำเนินการ (๓) ให้ประธานาธิบดียุติการดำเนิน
 
มาตรการฉุกเฉินนั้นทันที เมื่อเหตุที่ทำให้ต้องใช้มาตรการฉุกเฉินนั้นหมดสิ้นไป
 
(๕) ประธานาธิบดี ต้องประกาศเหตุแห่งการดำเนินการตาม (๓) และ (๔) โดยมิชักช้า
 
มาตรา ๗๗ (๑) ในยามสงคราม เกิดภัยพิบัติ หรือเหตุฉุกเฉินที่มีลักษณะเดียวกันและมีความจำเป็น
 
ต้องใช้กำลังทหาร หรือมีความจำเป็นที่จะต้องรักษาไว้ซึ่งความสงบเรียบร้อยและความมั่นคงให้เกิดขึ้นภายในประเทศ
 
ประธานาธิบดีมีอำนาจที่จะประกาศภาวะฉุกเฉินตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
 
(๒) ภาวะฉุกเฉินอาจเป็นการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินหรือกฎอัยการศึก
 
(๓) เมื่อประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินให้ใช้อำนาจกระทำการได้ตามที่กฎหมายกำหนด
 
ที่เกี่ยวข้องกับเสรีภาพในการเสนอข่าว เสรีภาพในการพิมพ์ เสรีภาพในการประชุม เสรีภาพในการรวมกันเป็นสมาคม
 
หรือสามารถใช้มาตรการพิเศษเกี่ยวกับสิทธิ อำนาจหน้าที่ของฝ่ายบริหาร หรือฝ่ายตุลาการได้
 
(๔) เมื่อได้ประกาศภาวะฉุกเฉิน ประธานาธิบดีต้องแจ้งให้รัฐสภาทราบโดยมิชักช้า
 
(๕) หากที่ประชุมรัฐสภาลงมติด้วยคะแนนเสียงเกินกึ่งหนึ่งของสมาชิกทั้งหมด ให้ยกเลิก
 
การประกาศภาวะฉุกเฉินนั้น ประธานาธิบดีต้องประกาศยกเลิกภาวะฉุกเฉินนั้นโดยมิชักช้า
 
มาตรา ๗๘ ประธานาธิบดี มีอำนาจแต่งตั้งหรือถอดถอนเจ้าหน้าที่รัฐตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ
 
และกฎหมายกำหนด
 
มาตรา ๗๙ (๑) ประธานาธิบดี มีอำนาจอภัยโทษทั้งการปล่อยตัว ลดโทษ หรือคืนสิทธิที่สูญเสียไป
 
อันเนื่องมาจากคำพิพากษาของศาลตามที่กฎหมายกำหนด
 
(2) การนิรโทษกรรมต้องผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภา
 
(3) วิธีดำเนินการเกี่ยวกับการให้อภัยโทษ ลดโทษ และคืนสิทธิที่สูญเสียไปนั้น ให้กำหนดไว้ในกฎหมาย
 
==== มาตรา 80 ====
ไว้ในกฎหมาย
ประธานาธิบดี เป็นผู้มอบเครื่องอิสริยาภรณ์และเครื่องหมายแห่งเกียรติยศตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
 
==== มาตรา 81 ====
๑๕
ประธานาธิบดี มีสิทธิเข้าร่วมประชุมและแถลงต่อที่ประชุมรัฐสภา หรือส่งสาส์นไปยังรัฐสภาได้
 
==== มาตรา 82 ====
มาตรา ๘๐ ประธานาธิบดี เป็นผู้มอบเครื่องอิสริยาภรณ์และเครื่องหมายแห่งเกียรติยศตามบทบัญญัติ
การบริหารงานภาครัฐของประธานาธิบดีตามกฎหมาย จำต้องทำเป็นหนังสือและนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องลงนามรับรอง ในกิจการทหารให้ถือปฏิบัติด้วยวิธีการเช่นเดียวกัน
 
==== มาตรา 83 ====
แห่งกฎหมาย
ประธานาธิบดี ไม่สามารถดำรงตำแหน่งดังกล่าวต่อไปนี้ ในขณะเดียวกันได้ เช่น นายกรัฐมนตรีรัฐมนตรีและหัวหน้าองค์กรของรัฐ เป็นต้น ตามที่กฎหมายกำหนดไว้
 
==== มาตรา 84 ====
มาตรา ๘๑ ประธานาธิบดี มีสิทธิเข้าร่วมประชุมและแถลงต่อที่ประชุมรัฐสภา หรือส่งสาส์นไปยัง
ประธานาธิบดี จะถูกฟ้องร้องในคดีอาญาในระหว่างดำรงตำแหน่งมิได้ เว้นแต่ได้กระทำความผิดฐานกบฏหรือขายชาติ
 
==== มาตรา 85 ====
รัฐสภาได้
อดีตประธานาธิบดี คงไว้ซึ่งสถานะแห่งความเคารพตามที่กฎหมายกำหนด
 
=== ส่วนที่ 2 ฝ่ายบริหาร ===
มาตรา ๘๒ การบริหารงานภาครัฐของประธานาธิบดีตามกฎหมาย จำต้องทำเป็นหนังสือและนายกรัฐมนตรี
 
==== ตอน 1 นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรี ====
และรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องลงนามรับรอง ในกิจการทหารให้ถือปฏิบัติด้วยวิธีการเช่นเดียวกัน
 
===== มาตรา 86 =====
มาตรา ๘๓ ประธานาธิบดี ไม่สามารถดำรงตำแหน่งดังกล่าวต่อไปนี้ ในขณะเดียวกันได้ เช่น นายกรัฐมนตรี
(1) นายกรัฐมนตรีเป็นผู้ได้รับการแต่งตั้งโดยประธานาธิบดีและผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภา
 
(2) นายกรัฐมนตรีมีหน้าที่ช่วยเหลือประธานาธิบดี และควบคุมการบริหารงานของฝ่ายบริหารตามคำสั่งของประธานาธิบดี
รัฐมนตรีและหัวหน้าองค์กรของรัฐ เป็นต้น ตามที่กฎหมายกำหนดไว้
 
(3) การแต่งตั้งทหารเป็นนายกรัฐมนตรีจะกระทำมิได้ เว้นแต่ได้พ้นจากการเป็นทหารประจำการแล้ว
มาตรา ๘๔ ประธานาธิบดี จะถูกฟ้องร้องในคดีอาญาในระหว่างดำรงตำแหน่งมิได้ เว้นแต่ได้กระทำ
 
===== มาตรา 87 =====
ความผิดฐานกบฏหรือขายชาติ
(1) ประธานาธิบดีแต่งตั้งรัฐมนตรีตามคำแนะนำของนายกรัฐมนตรี
 
(2) รัฐมนตรีมีหน้าที่ช่วยเหลือประธานาธิบดีในการบริหารงานของรัฐ และในฐานะรัฐมนตรีในคณะรัฐมนตรี มีหน้าที่พิจารณาการบริหารงานของรัฐ
มาตรา ๘๕ อดีตประธานาธิบดี คงไว้ซึ่งสถานะแห่งความเคารพตามที่กฎหมายกำหนด
 
(3) นายกรัฐมนตรีอาจเสนอแนะให้ประธานาธิบดีถอดถอนรัฐมนตรีให้พ้นจากตำแหน่งได้
ส่วนที่ ๒ ฝ่ายบริหาร
 
(4) การแต่งตั้งทหารเป็นรัฐมนตรีจะกระทำมิได้ เว้นแต่ได้พ้นจากการเป็นทหารประจำการแล้ว
ตอน ๑ นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรี
 
==== ตอน 2 คณะรัฐมนตรี ====
มาตรา ๘๖ (๑) นายกรัฐมนตรีเป็นผู้ได้รับการแต่งตั้งโดยประธานาธิบดีและผ่านความเห็นชอบจาก
 
===== มาตรา 88 =====
รัฐสภา
(1) คณะรัฐมนตรีทำหน้าที่พิจารณานโยบายอันสำคัญที่อยู่ในขอบเขตอำนาจฝ่ายบริหาร
 
(2) คณะรัฐมนตรีประกอบด้วย ประธานาธิบดี นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีอื่น ซึ่งต้องมีจำนวนไม่น้อยกว่า 15 คน และไม่เกิน 30 คน
(๒) นายกรัฐมนตรีมีหน้าที่ช่วยเหลือประธานาธิบดี และควบคุมการบริหารงานของฝ่ายบริหาร
 
(3) ประธานาธิบดี เป็นประธานที่ประชุมคณะรัฐมนตรีและนายกรัฐมนตรีเป็นรองประธาน
ตามคำสั่งของประธานาธิบดี
 
===== มาตรา 89 =====
(๓) การแต่งตั้งทหารเป็นนายกรัฐมนตรีจะกระทำมิได้ เว้นแต่ได้พ้นจากการเป็นทหาร
คณะรัฐมนตรีมีหน้าที่พิจารณากิจการ ต่อไปนี้
 
1. แผนงานหลักเกี่ยวกับกิจการของรัฐ และนโยบายทั่วไปของรัฐบาล
ประจำการแล้ว
 
2. การประกาศสงคราม การลงนามในสนธิสัญญาสันติภาพ และเรื่องอื่นใดที่สำคัญเกี่ยวกับนโยบายต่างประเทศ
มาตรา ๘๗ (๑) ประธานาธิบดีแต่งตั้งรัฐมนตรีตามคำแนะนำของนายกรัฐมนตรี
 
3. ร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ญัตติในการออกเสียงประชามติ ร่างสนธิสัญญา ร่างกฎหมายและร่างกฤษฎีกาของประธานาธิบดี
(๒) รัฐมนตรีมีหน้าที่ช่วยเหลือประธานาธิบดีในการบริหารงานของรัฐ และในฐานะรัฐมนตรี
 
4. ร่างงบประมาณ รายงานการเงินของประเทศ แผนงานหลักในการบริหารจัดการทรัพย์สินของรัฐ สนธิสัญญาที่ผูกพันด้านการเงินของรัฐ และเรื่องอื่นใดที่สำคัญเกี่ยวข้องกับการเงิน
ในคณะรัฐมนตรี มีหน้าที่พิจารณาการบริหารงานของรัฐ
 
5. การประกาศและการยกเลิกมาตรการฉุกเฉินของประธานาธิบดี
(๓) นายกรัฐมนตรีอาจเสนอแนะให้ประธานาธิบดีถอดถอนรัฐมนตรีให้พ้นจากตำแหน่งได้
 
6. กิจการทหารที่สำคัญ
(๔) การแต่งตั้งทหารเป็นรัฐมนตรีจะกระทำมิได้ เว้นแต่ได้พ้นจากการเป็นทหารประจำการแล้ว
 
7. การร้องขอให้เปิดประชุมสภาสมัยวิสามัญ
๑๖
 
8. การให้เครื่องอิสริยาภรณ์
ตอน ๒ คณะรัฐมนตรี
 
9. การให้อภัยโทษ การลดโทษ และการคืนสิทธิ
มาตรา ๘๘ (๑) คณะรัฐมนตรีทำหน้าที่พิจารณานโยบายอันสำคัญที่อยู่ในขอบเขตอำนาจฝ่ายบริหาร
 
10. เรื่องที่เกี่ยวกับการกำหนดอำนาจหน้าที่ของกระทรวง
(๒) คณะรัฐมนตรีประกอบด้วย ประธานาธิบดี นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีอื่น ซึ่งต้องมี
 
11. แผนงานที่เกี่ยวกับการมอบหมายอำนาจ หรือการกำหนดอำนาจหน้าที่ของรัฐบาล
จำนวนไม่น้อยกว่า ๑๕ คน และไม่เกิน ๓๐ คน
 
12. การประมวลผลงานและการวิเคราะห์ผลงานของการบริหารประเทศ
(๓) ประธานาธิบดี เป็นประธานที่ประชุมคณะรัฐมนตรีและนายกรัฐมนตรีเป็นรองประธาน
 
13. การกำหนดและประสานนโยบายสำคัญของแต่ละกระทรวง
มาตรา ๘๙ คณะรัฐมนตรีมีหน้าที่พิจารณากิจการ ต่อไปนี้
 
14. การดำเนินการเพื่อยุบพรรคการเมือง
๑. แผนงานหลักเกี่ยวกับกิจการของรัฐ และนโยบายทั่วไปของรัฐบาล
 
15. การพิจารณาเรื่องร้องเรียนที่เกี่ยวข้องกับนโยบายของรัฐบาล ที่มีผู้เสนอหรือมีหน่วยงานอื่นส่งมายังรัฐบาล
๒. การประกาศสงคราม การลงนามในสนธิสัญญาสันติภาพ และเรื่องอื่นใดที่สำคัญ
 
16. การแต่งตั้งผู้ตรวจการแผ่นดิน ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ผู้บัญชาการทหารทั้งสามเหล่าทัพอธิการบดีมหาวิทยาลัยของรัฐ เอกอัครราชทูต และเจ้าหน้าที่อื่นของรัฐและผู้จัดการรัฐวิสาหกิจตามที่กฎหมายกำหนด
เกี่ยวกับนโยบายต่างประเทศ
 
17. เรื่องอื่นใดที่ได้เสนอต่อประธานาธิบดี นายกรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรี
๓. ร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ญัตติในการออกเสียงประชามติ ร่างสนธิสัญญา ร่างกฎหมาย
 
===== มาตรา 90 =====
และร่างกฤษฎีกาของประธานาธิบดี
(1) ให้จัดตั้งคณะมนตรีแห่งชาติขึ้น เพื่อทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาของประธานาธิบดีในเรื่องที่มีความสำคัญของการบริหารประเทศ
 
(2) ประธานคณะมนตรี คือ อดีตประธานาธิบดี กรณีไม่มีอดีตประธานาธิบดี ให้ประธานาธิบดี
๔. ร่างงบประมาณ รายงานการเงินของประเทศ แผนงานหลักในการบริหารจัดการ
 
ทรัพย์สินของรัฐ สนธิสัญญาที่ผูกพันด้านการเงินของรัฐ และเรื่องอื่นใดที่สำคัญเกี่ยวข้องกับการเงิน
 
๕. การประกาศและการยกเลิกมาตรการฉุกเฉินของประธานาธิบดี
 
๖. กิจการทหารที่สำคัญ
 
๗. การร้องขอให้เปิดประชุมสภาสมัยวิสามัญ
 
๘. การให้เครื่องอิสริยาภรณ์
 
๙. การให้อภัยโทษ การลดโทษ และการคืนสิทธิ
 
๑๐. เรื่องที่เกี่ยวกับการกำหนดอำนาจหน้าที่ของกระทรวง
 
๑๑. แผนงานที่เกี่ยวกับการมอบหมายอำนาจ หรือการกำหนดอำนาจหน้าที่ของรัฐบาล
 
๑๒. การประมวลผลงานและการวิเคราะห์ผลงานของการบริหารประเทศ
 
๑๓. การกำหนดและประสานนโยบายสำคัญของแต่ละกระทรวง
 
๑๔. การดำเนินการเพื่อยุบพรรคการเมือง
 
๑๕. การพิจารณาเรื่องร้องเรียนที่เกี่ยวข้องกับนโยบายของรัฐบาล ที่มีผู้เสนอหรือมีหน่วยงานอื่น
 
ส่งมายังรัฐบาล
 
๑๖. การแต่งตั้งผู้ตรวจการแผ่นดิน ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ผู้บัญชาการทหารทั้งสามเหล่าทัพ
 
อธิการบดีมหาวิทยาลัยของรัฐ เอกอัครราชทูต และเจ้าหน้าที่อื่นของรัฐและผู้จัดการรัฐวิสาหกิจตามที่กฎหมาย
 
กำหนด
 
๑๗. เรื่องอื่นใดที่ได้เสนอต่อประธานาธิบดี นายกรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรี
 
๑๗
 
มาตรา ๙๐ (๑) ให้จัดตั้งคณะมนตรีแห่งชาติขึ้น เพื่อทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาของประธานาธิบดีในเรื่อง
 
ที่มีความสำคัญของการบริหารประเทศ
 
(๒) ประธานคณะมนตรี คือ อดีตประธานาธิบดี กรณีไม่มีอดีตประธานาธิบดี ให้ประธานาธิบดี
 
คนปัจจุบันทำหน้าที่ประธาน
 
(3) การจัดหน่วยงาน ขอบเขตของอำนาจหน้าที่ และเรื่องอื่นใดที่เกี่ยวกับคณะมนตรีแห่งชาติ
 
ให้กำหนดไว้ในกฎหมาย
 
===== มาตรา 91 =====
มาตรา ๙๑ (๑) ให้จัดตั้งสภาความมั่นคงแห่งชาติขึ้น เพื่อทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาของประธานาธิบดี
(1) ให้จัดตั้งสภาความมั่นคงแห่งชาติขึ้น เพื่อทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาของประธานาธิบดีในการกำหนดนโยบายต่างประเทศ นโยบายการทหาร และนโยบายภายในประเทศที่เกี่ยวกับความมั่นคงของชาติก่อนที่จะเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณา
 
(2) ประธานาธิบดี เป็นประธานที่ประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ
ในการกำหนดนโยบายต่างประเทศ นโยบายการทหาร และนโยบายภายในประเทศที่เกี่ยวกับความมั่นคงของชาติ
 
(3) การจัดหน่วยงาน ขอบเขตของอำนาจหน้าที่ และเรื่องอื่นใดที่เกี่ยวกับสภาความมั่นคงแห่งชาติให้กำหนดไว้ในกฎหมาย
ก่อนที่จะเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณา
 
มาตรา 92
(๒) ประธานาธิบดี เป็นประธานที่ประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ
 
(1) ให้จัดตั้งสภารวมมาตุภูมิตามหลักสันติภาพแบบประชาธิปไตยขึ้นมา เพื่อทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาของประธานาธิบดีในการกำหนดนโยบายการรวมมาตุภูมิอย่างสันติวิธี
(๓) การจัดหน่วยงาน ขอบเขตของอำนาจหน้าที่ และเรื่องอื่นใดที่เกี่ยวกับสภาความมั่นคงแห่งชาติ
 
(2) การจัดหน่วยงาน ขอบเขตของอำนาจหน้าที่ และเรื่องอื่นใดที่เกี่ยวกับสภารวมมาตุภูมิตามหลักสันติภาพแบบประชาธิปไตยให้กำหนดไว้ในกฎหมาย
ให้กำหนดไว้ในกฎหมาย
 
===== มาตรา 93 =====
มาตรา ๗๒ (๑) ให้จัดตั้งสภารวมมาตุภูมิตามหลักสันติภาพแบบประชาธิปไตยขึ้นมา เพื่อทำหน้าที่
(1) ให้จัดตั้งสภาเศรษฐกิจแห่งชาติขึ้นมา เพื่อทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาของประธานาธิบดีในการกำหนดนโยบายสำคัญ เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ
 
(2) การจัดหน่วยงาน ขอบเขตของอำนาจหน้าที่ และเรื่องอื่นใดที่เกี่ยวกับสภาเศรษฐกิจแห่งชาติให้กำหนดไวในกฎหมาย
เป็นที่ปรึกษาของประธานาธิบดีในการกำหนดนโยบายการรวมมาตุภูมิอย่างสันติวิธี
 
==== ตอน 3 กระทรวง ====
(๒) การจัดหน่วยงาน ขอบเขตของอำนาจหน้าที่ และเรื่องอื่นใดที่เกี่ยวกับสภารวมมาตุภูมิ
 
===== มาตรา 94 =====
ตามหลักสันติภาพแบบประชาธิปไตยให้กำหนดไว้ในกฎหมาย
ประธานาธิบดี เป็นผู้แต่งตั้งรัฐมนตรีว่าการกระทรวง โดยแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีในคณะรัฐมนตรีตามคำแนะนำของนายกรัฐมนตรี
 
===== มาตรา 95 =====
มาตรา ๙๓ (๑) ให้จัดตั้งสภาเศรษฐกิจแห่งชาติขึ้นมา เพื่อทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาของประธานาธิบดี
นายกรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรีว่าการกระทรวง มีอำนาจหน้าที่ออกประกาศของนายกรัฐมนตรีหรือกฎกระทรวงอันเกี่ยวกับเรื่องที่อยู่ในความรับผิดชอบของตนได้ตามที่กฎหมายกำหนดไว้
 
===== มาตรา 96 =====
ในการกำหนดนโยบายสำคัญ เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ
การจัดตั้ง การจัดหน่วยงานและขอบเขตอัตราอำนาจหน้าที่ของแต่ละกระทรวงให้กำหนดไว้ในกฎหมาย
 
==== ตอน 4 คณะกรรมการตรวจการแผ่นดิน ====
(๒) การจัดหน่วยงาน ขอบเขตของอำนาจหน้าที่ และเรื่องอื่นใดที่เกี่ยวกับสภาเศรษฐกิจแห่งชาติ
 
===== มาตรา 97 =====
ให้กำหนดไวในกฎหมาย
ให้จัดตั้งคณะกรรมการตรวจการแผ่นดินขึ้นภายใต้อำนาจของประธานาธิบดี เพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบบัญชีรายได้และรายจ่ายประจำปีของรัฐ บัญชีการจ่ายเงินของรัฐและของหน่วยงานอื่นตามที่กฎหมายกำหนด และตรวจสอบการทำงานของหน่วยงานรัฐและเจ้าหน้าที่ของรัฐด้วย
 
===== มาตรา 98 =====
ตอน ๓ กระทรวง
(1) คณะกรรมการตรวจการแผ่นดินประกอบด้วยกรรมการไม่น้อยกว่า 5 คน และไม่เกิน 11 คน รวมประธานกรรมการด้วย
 
(2) ประธานกรรมการได้รับการแต่งตั้งโดยประธานาธิบดี โดยผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภามีวาระในการดำรงตำแหน่งคราวละ 4 ปี และสามารถอยู่ในตำแหน่งได้ 2 วาระ
มาตรา ๙๔ ประธานาธิบดี เป็นผู้แต่งตั้งรัฐมนตรีว่าการกระทรวง โดยแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีในคณะรัฐมนตรี
 
(3) ประธานาธิบดี เป็นผู้แต่งตั้งกรรมการตรวจการแผ่นดิน ตามคำแนะนำของประธานมีวาระในการดำรงตำแหน่งคราวละ 4 ปี และสามารถอยู่ในตำแหน่งได้ 2 วาระ
ตามคำแนะนำของนายกรัฐมนตรี
 
มาตรา 99
มาตรา ๙๕ นายกรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรีว่าการกระทรวง มีอำนาจหน้าที่ออกประกาศของนายกรัฐมนตรี
 
คณะกรรมการตรวจการแผ่นดิน มีอำนาจหน้าที่ตรวจสอบบัญชีรายได้และรายจ่ายประจำปีและให้เสนอรายงานผลการตรวจสอบต่อประธานาธิบดีและรัฐสภาในปีถัดไป
หรือกฎกระทรวงอันเกี่ยวกับเรื่องที่อยู่ในความรับผิดชอบของตนได้ตามที่กฎหมายกำหนดไว้
 
มาตรา 100
มาตรา ๙๖ การจัดตั้ง การจัดหน่วยงานและขอบเขตอัตราอำนาจหน้าที่ของแต่ละกระทรวงให้กำหนด
 
การจัดหน่วยงาน ขอบเขตอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการตรวจการแผ่นดินและคุณสมบัติของกรรมการ เจ้าหน้าที่ของรัฐที่เข้าข่ายต้องดำเนินการตรวจสอบ และเรื่องอื่นใดที่จำเป็นให้กำหนดไว้ในกฎหมาย
ไว้ในกฎหมาย
 
== หมวด 5 ศาลยุติธรรม ==
๑๘
 
=== มาตรา 101 ===
ตอน ๔ คณะกรรมการตรวจการแผ่นดิน
(1) ศาลที่ประกอบด้วยผู้พิพากษาเป็นผู้ใช้อำนาจตุลาการ
 
(2) ศาลประกอบด้วย ศาลฎีกา ซึ่งเป็นศาลสูงสุดของรัฐและศาลอื่นในระดับต่างๆ
มาตรา ๙๗ ให้จัดตั้งคณะกรรมการตรวจการแผ่นดินขึ้นภายใต้อำนาจของประธานาธิบดี เพื่อทำหน้าที่
 
(3) ให้กำหนดคุณสมบัติของผู้พิพากษาไว้ในกฎหมาย
ตรวจสอบบัญชีรายได้และรายจ่ายประจำปีของรัฐ บัญชีการจ่ายเงินของรัฐและของหน่วยงานอื่นตามที่กฎหมาย
 
=== มาตรา 102 ===
กำหนด และตรวจสอบการทำงานของหน่วยงานรัฐและเจ้าหน้าที่ของรัฐด้วย
(1) ให้จัดตั้งหน่วยงานขึ้นในศาลฎีกา
 
(2) ให้มีผู้พิพากษาในศาลฎีกา และผู้พิพากษาศาลอื่น ตามที่กฎหมายกำหนด
มาตรา ๙๘ (๑) คณะกรรมการตรวจการแผ่นดินประกอบด้วยกรรมการไม่น้อยกว่า ๕ คน และไม่เกิน
 
(3) การจัดหน่วยงานในศาลฎีกาและศาลอื่นให้กำหนดไว้ในกฎหมาย
๑๑ คน รวมประธานกรรมการด้วย
 
====== มาตรา 103 ======
(๒) ประธานกรรมการได้รับการแต่งตั้งโดยประธานาธิบดี โดยผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภา
ผู้พิพากษามีความเป็นอิสระในการพิจารณาพิพากษาตามมโนธรรมของตน และตามรัฐธรรมนูญกับกฎหมาย
 
=== มาตรา 104 ===
มีวาระในการดำรงตำแหน่งคราวละ ๔ ปี และสามารถอยู่ในตำแหน่งได้ ๒ วาระ
(1) ประธานศาลฎีกา ได้รับการแต่งตั้งโดยประธานาธิบดี โดยผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภา
 
(2) ประธานาธิบดีผู้พิพากษาศาลฎีกา เป็นผู้ได้รับการแต่งตั้งกรรมการตรวจการแผ่นดินโดยประธานาธิบดี ตามคำแนะนำของประธานศาลฎีกา โดยผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภา
 
(3) ผู้พิพากษาศาลฎีกา จะได้รับการคัดเลือก โดยประธานศาลฎีกาโดยผ่านความเห็นชอบจากที่ประชุมผู้พิพากษาศาลฎีกา
มีวาระในการดำรงตำแหน่งคราวละ ๔ ปี และสามารถอยู่ในตำแหน่งได้ ๒ วาระ
 
=== มาตรา 105 ===
มาตรา ๙๙ คณะกรรมการตรวจการแผ่นดิน มีอำนาจหน้าที่ตรวจสอบบัญชีรายได้และรายจ่ายประจำปี
(1) ประธานศาลฎีกา มีวาระอยู่ในตำแหน่งได้ 6 ปี เพียงหนึ่งสมัย
 
(2) ผู้พิพากษาศาลฎีกา มีวาระอยู่ในตำแหน่งคราวละ 6 ปี และสามารถรับตำแหน่งต่อได้ตามที่กฎหมายกำหนด
และให้เสนอรายงานผลการตรวจสอบต่อประธานาธิบดีและรัฐสภาในปีถัดไป
 
(3) ผู้พิพากษาในศาลอื่น มีวาระอยู่ในตำแหน่งได้คราวละ 10 ปี และสามารถรับตำแหน่งต่อได้ตามที่กฎหมายกำหนด
มาตรา ๑๐๐ การจัดหน่วยงาน ขอบเขตอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการตรวจการแผ่นดินและ
 
(4) การเกษียณอายุราชการของผู้พิพากษาให้กำหนดไว้ในกฎหมาย
คุณสมบัติของกรรมการ เจ้าหน้าที่ของรัฐที่เข้าข่ายต้องดำเนินการตรวจสอบ และเรื่องอื่นใดที่จำเป็นให้กำหนด
 
=== มาตรา 106 ===
ไว้ในกฎหมาย
(1) การถอดถอนผู้พิพากษา พักงานหรือลดเงินเดือน หรือต้องรับโทษอย่างอื่นมิสามารถกระทำได้ เว้นแต่ได้ถูกกล่าวหาว่าได้กระทำผิดทางอาญา หรือเป็นการกระทำผิดวินัย
 
(2) ในกรณีที่ผู้พิพากษาไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ด้วยเหตุผลทางจิตใจหรือร่างกายก็ตามให้ผู้พิพากษานั้นพ้นจากตำแหน่งได้ตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
หมวด ๕
 
=== มาตรา 107 ===
ศาลยุติธรรม
(1) ในการพิจารณาคดี หากมีกรณีว่ากฎหมายขัดต่อบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญหรือไม่นั้นศาลขอให้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเป็นผู้ชี้ขาดได้ และศาลต้องตัดสินตามที่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญชี้ขาด
 
มาตรา ๑๐๑ (๑) ศาลที่ประกอบด้วยผู้พิพากษาเป็นผู้ใช้อำนาจตุลาการ
 
(๒) ศาลประกอบด้วย ศาลฎีกา ซึ่งเป็นศาลสูงสุดของรัฐและศาลอื่นในระดับต่างๆ
 
(๓) ให้กำหนดคุณสมบัติของผู้พิพากษาไว้ในกฎหมาย
 
มาตรา ๑๐๒ (๑) ให้จัดตั้งหน่วยงานขึ้นในศาลฎีกา
 
(๒) ให้มีผู้พิพากษาในศาลฎีกา และผู้พิพากษาศาลอื่น ตามที่กฎหมายกำหนด
 
(๓) การจัดหน่วยงานในศาลฎีกาและศาลอื่นให้กำหนดไว้ในกฎหมาย
 
มาตรา ๑๐๓ ผู้พิพากษามีความเป็นอิสระในการพิจารณาพิพากษาตามมโนธรรมของตน และตาม
 
รัฐธรรมนูญกับกฎหมาย
 
๑๙
 
มาตรา ๑๐๔ (๑) ประธานศาลฎีกา ได้รับการแต่งตั้งโดยประธานาธิบดี โดยผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภา
 
(๒) ผู้พิพากษาศาลฎีกา ได้รับการแต่งตั้งโดยประธานาธิบดี ตามคำแนะนำของประธาน
 
ศาลฎีกา โดยผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภา
 
(๓) ผู้พิพากษาศาลฎีกา จะได้รับการคัดเลือก โดยประธานศาลฎีกาโดยผ่านความเห็นชอบ
 
จากที่ประชุมผู้พิพากษาศาลฎีกา
 
มาตรา ๑๐๕ (๑) ประธานศาลฎีกา มีวาระอยู่ในตำแหน่งได้ ๖ ปี เพียงหนึ่งสมัย
 
(๒) ผู้พิพากษาศาลฎีกา มีวาระอยู่ในตำแหน่งคราวละ ๖ ปี และสามารถรับตำแหน่งต่อได้
 
ตามที่กฎหมายกำหนด
 
(๓) ผู้พิพากษาในศาลอื่น มีวาระอยู่ในตำแหน่งได้คราวละ ๑๐ ปี และสามารถรับตำแหน่งต่อได้
 
ตามที่กฎหมายกำหนด
 
(๔) การเกษียณอายุราชการของผู้พิพากษาให้กำหนดไว้ในกฎหมาย
 
มาตรา ๑๐๖ (๑) การถอดถอนผู้พิพากษา พักงานหรือลดเงินเดือน หรือต้องรับโทษอย่างอื่นมิสามารถ
 
กระทำได้ เว้นแต่ได้ถูกกล่าวหาว่าได้กระทำผิดทางอาญา หรือเป็นการกระทำผิดวินัย
 
(๒) ในกรณีที่ผู้พิพากษาไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ด้วยเหตุผลทางจิตใจหรือร่างกายก็ตาม
 
ให้ผู้พิพากษานั้นพ้นจากตำแหน่งได้ตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
 
มาตรา ๑๐๗ (๑) ในการพิจารณาคดี หากมีกรณีว่ากฎหมายขัดต่อบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญหรือไม่นั้น
 
ศาลขอให้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเป็นผู้ชี้ขาดได้ และศาลต้องตัดสินตามที่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญชี้ขาด
 
(๒) กรณีที่คำตัดสินของศาลมีการขัดหรือแย้งกับบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายอื่น
 
ที่เกี่ยวกับคำประกาศ ข้อระเบียบราชการหรือการลงโทษ ให้ศาลฎีกามีอำนาจพิจารณาตัดสินและให้ถือเป็นที่สิ้นสุด
 
(๓) การตัดสินคดีทางปกครองเป็นไปด้วยความบริสุทธิ์ยุติธรรม ตามที่กฎหมายกำหนด
 
โดยยึดตามขั้นตอนในกระบวนการยุติธรรม
 
มาตรา ๑๐๘ ศาลฎีกามีอำนาจกำหนดกระบวนการพิจารณาและวิธีการพิจารณาคดี ตลอดจน
 
ระเบียบข้อบังคับของศาลตามที่กฎหมายกำหนด
 
มาตรา ๑๐๙ การพิจารณาคดีและคำพิพากษาของศาลจะต้องกระทำโดยเปิดเผย การพิจารณาคดีลับ
 
สามารถกระทำได้ในกรณีที่การพิจารณาคดีนั้นอาจเป็นภัยต่อความมั่นคง และความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง
 
หรืออาจเป็นอันตรายต่อขนบธรรมเนียมประเพณีอันดี
 
๒๐
 
มาตรา ๑๑๐ (๑) ให้จัดตั้งศาลทหารขึ้นในฐานะเป็นศาลพิเศษ เพื่อปฏิบัติหน้าที่พิจารณาคดีที่เกี่ยวกับทหาร
 
(๒) ศาลฎีกามีอำนาจพิจารณาคดีฎีกาของศาลทหาร และถือว่าคำพิพากษาเป็นที่สุด
 
(๓) การจัดตั้งหน่วยงาน อำนาจหน้าที่ และคุณสมบัติของผู้พิพากษาให้กำหนดไว้ในกฎหมาย
 
(๔) เมื่อมีการประกาศกฎอัยการศึก ให้ศาลทหารมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีได้เบ็ดเสร็จ
 
ในศาลเดียว ในคดีที่ทหารหรือเจ้าหน้าที่กลาโหม พลเรือน กระทำผิดทางอาญา คดีที่เกี่ยวกับการจารกรรม
 
ความลับทางทหาร ความผิดทางอาญาใดตามที่กำหนดไว้ในกฎหมายเกี่ยวกับการยืนยาม ด่านตรวจ การจัดหาอาหาร
 
ที่มีอันตรายและเชลยศึก
 
หมวด ๖
 
ศาลรัฐธรรมนูญ
 
มาตรา ๑๑๑ (๑) ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจหน้าที่พิจารณาเรื่องดังต่อไปนี้
 
๑. การพิพากษาชี้ขาดประเด็นกฎหมายที่ขัดหรือแย้งกับบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ ตามการร้องขอ
 
ของศาลยุติธรรม
 
๒. การพิพากษาเพื่อถอดถอน
 
๓. การพิจารณาตัดสินยุบพรรคการเมือง
 
๔. การพิจารณาตัดสินความขัดแย้งระหว่างองค์กรของรัฐกับองค์กรของรัฐ ระหว่างองค์กรของรัฐกับ
 
องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และระหว่างองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
 
๕. การพิจารณาตัดสินเกี่ยวกับเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ ตามที่กฎหมายกำหนด
 
(๒) ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ มีจำนวน ๙ คน โดยได้รับการแต่งตั้งจากประธานาธิบดี
 
(๓) การแต่งตั้งผู้พิพากษาตาม (๒) ให้เลือกมาจากที่ประชุมรัฐสภา จำนวน ๓ คน และให้
 
ประธานศาลฎีกาเป็นผู้แต่งตั้ง จำนวน ๓ คน
 
(๔) ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ได้รับการแต่งตั้งโดยประธานาธิบดี โดยผ่านความเห็นชอบ
 
จากที่ประชุมรัฐสภา
 
มาตรา ๑๑๒ (๑) ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ มีวาระในการดำรงตำแหน่งคราวละ ๖ ปี และสามารถ
 
ดำรงตำแหน่งได้อีกตามที่กฎหมายกำหนด
 
(๒) ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ จะต้องไม่สังกัดพรรคการเมืองและไม่มีความเกี่ยวข้อง
 
ทางการเมือง
 
(๓) การถอดถอนตุลาการศาลรัฐธรรมนูญให้พ้นจากตำแหน่ง มิสามารถกระทำได้ เว้นแต่
 
ได้กระทำความผิดที่เกี่ยวกับคดีอาญา
 
๒๑
 
มาตรา ๑๑๓ (๑) ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ จะต้องลงมติเห็นชอบด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่า ๖ เสียง
 
ในการพิพากษาตัดสินคดีหรือประเด็นที่เกี่ยวกับการขัดหรือแย้งกับบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญ การถอดถอนออก
 
จากตำแหน่ง การยุบพรรคการเมือง และการพิจารณาตัดสินเกี่ยวกับเจตนารมณ์ของบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญ
 
(๒) ศาลรัฐธรรมนูญ มีอำนาจกำหนดขอบเขตของการพิพากษาตัดสิน กฎ ระเบียบ
 
สำหรับการจัดการและกฎเกณฑ์ภายในของสำนักงานได้
 
(๓) การจัดหน่วยงาน การบริหารงานและเรื่องอื่นใดที่จำเป็นของศาลรัฐธรรมนูญ
 
ให้กำหนดไว้ในกฎหมาย
 
หมวด ๗
 
คณะกรรมการการเลือกตั้ง
 
มาตรา ๑๑๔ (๑) ให้จัดตั้งคณะกรรมการการเลือกตั้งขึ้นเพื่อบริหารจัดการเลือกตั้ง การลงประชามติ
 
ให้เป็นไปอย่างยุติธรรม และกิจการที่เกี่ยวกับพรรคการเมือง
 
(๒) คณะกรรมการการเลือกตั้ง ประกอบด้วย กรรมการที่ได้รับการแต่งตั้งโดยประธานาธิบดี
 
จำนวน ๓ คน เลือกมาจากที่ประชุมรัฐสภา จำนวน ๓ คน และได้รับการแต่งตั้งโดยประธานศาลฎีกา จำนวน
 
๓ คน และให้เลือกประธานขึ้นมาจากกรรมการในคณะ
 
(๓) กรรมการการเลือกตั้งมีวาระในการดำรงตำแหน่งคราวละ ๖ ปี
 
(๔) กรรมการการเลือกตั้งจะต้องไม่สังกัดพรรคการเมือง และไม่มีความเกี่ยวข้องทางการเมือง
 
(๕) การถอดถอนกรรมการการเลือกตั้งให้พ้นจากตำแหน่งมิสามารถกระทำได้ เว้นแต่
 
ได้กระทำความผิดที่เกี่ยวกับคดีอาญา
 
(๖) คณะกรรมการการเลือกตั้งมีอำนาจกำหนดขอบเขตการจัดการเลือกตั้ง การจัดการ
 
ลงประชามติ การบัญญัติกฎหมายที่เกี่ยวกับกิจการพรรคการเมือง กฎระเบียบสำหรับการจัดการและกฎเกณฑ์
 
ภายในของสำนักงานได้
 
(๗) คณะกรรมการการเลือกตั้งในแต่ละระดับสามารถจัดหน่วยงาน การบริหารงานและ
 
เรื่องอื่นใดที่จำเป็นตามที่กฎหมายกำหนด
 
มาตรา ๑๑๕ (๑) คณะกรรมการการเลือกตั้งแต่ละระดับมีอำนาจมอบหมายหรือสั่งการให้องค์กรของ
 
ฝ่ายบริหารดำเนินการจัดทำรายชื่อของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง สถานที่ใช้สิทธิเลือกตั้ง และสถานที่ใช้สิทธิออกเสียง
 
ประชามติ หรือให้ดำเนินการอย่างอื่นที่มีความจำเป็นตามที่กำหนดไว้ในกฎหมาย
 
(๒) องค์กรฝ่ายบริหารที่ได้รับมอบหมายตาม (๑) จะต้องดำเนินการตามคำสั่งนั้น
 
มาตรา ๑๑๖ (๑) การรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งให้กำหนดไว้ในกฎหมายเกี่ยวกับการบริหารจัดการของ
 
คณะกรรมการการเลือกตั้งแต่ละระดับ และต้องให้หลักประกันของโอกาสอย่างเท่าเทียมกัน
 
(๒) ค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งไม่สามารถเรียกเก็บจากพรรคการเมืองหรือ
 
ผู้สมัครรับเลือกตั้งได้ เว้นแต่เป็นเรื่องที่กำหนดไว้ในกฎหมาย
 
๒๒
 
หมวด ๘
 
การปกครองส่วนท้องถิ่น
 
มาตรา ๑๑๗ (๑) องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น มีหน้าที่ในการบริหารจัดการและรับผิดชอบเกี่ยวกับ
 
สวัสดิการของประชาชนในท้องถิ่น การจัดการทรัพย์สินของท้องถิ่น และการบัญญัติกฎข้อบังคับหรือระเบียบ
 
เกี่ยวกับการปกครองในท้องถิ่นภายในขอบเขตของกฎหมาย
 
(๒) รูปแบบและประเภทของการปกครองส่วนท้องถิ่น ให้กำหนดไว้ในกฎหมาย
 
มาตรา ๑๑๘ (๑) ให้มีสภาท้องถิ่นที่อยู่ในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
 
(๒) การกำหนดโครงสร้าง อำนาจหน้าที่ การเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่น การกำหนด
 
วิธีการคัดเลือกประธานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และการกำหนดโครงสร้าง อำนาจหน้าที่และเรื่องอื่นที่สำคัญ
 
ให้กำหนดไว้ในกฎหมาย
 
(2) กรณีที่คำตัดสินของศาลมีการขัดหรือแย้งกับบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายอื่นที่เกี่ยวกับคำประกาศ ข้อระเบียบราชการหรือการลงโทษ ให้ศาลฎีกามีอำนาจพิจารณาตัดสินและให้ถือเป็นที่สิ้นสุด
หมวด ๙
 
(3) การตัดสินคดีทางปกครองเป็นไปด้วยความบริสุทธิ์ยุติธรรม ตามที่กฎหมายกำหนดโดยยึดตามขั้นตอนในกระบวนการยุติธรรม
เศรษฐกิจ
 
=== มาตรา 108 ===
มาตรา ๑๑๙ (๑) ระบบเศรษฐกิจของสาธารณรัฐเกาหลี มีรากฐานอยู่บนหลักแห่งการเคารพเสรีภาพ
ศาลฎีกามีอำนาจกำหนดกระบวนการพิจารณาและวิธีการพิจารณาคดี ตลอดจนระเบียบข้อบังคับของศาลตามที่กฎหมายกำหนด
 
=== มาตรา 109 ===
และความคิดสร้างสรรค์ในกิจการทางเศรษฐกิจของธุรกิจและของส่วนบุคคล
การพิจารณาคดีและคำพิพากษาของศาลจะต้องกระทำโดยเปิดเผย การพิจารณาคดีลับสามารถกระทำได้ในกรณีที่การพิจารณาคดีนั้นอาจเป็นภัยต่อความมั่นคง และความสงบเรียบร้อยของบ้านเมืองหรืออาจเป็นอันตรายต่อขนบธรรมเนียมประเพณีอันดี
 
=== มาตรา 110 ===
(๒) รัฐมีอำนาจหน้าที่สนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจของชาติอย่างสมดุลและการ
(1) ให้จัดตั้งศาลทหารขึ้นในฐานะเป็นศาลพิเศษ เพื่อปฏิบัติหน้าที่พิจารณาคดีที่เกี่ยวกับทหาร
 
(2) ศาลฎีกามีอำนาจพิจารณาคดีฎีกาของศาลทหาร และถือว่าคำพิพากษาเป็นที่สุด
กระจายรายได้อย่างมีเสถียรภาพและเป็นธรรม การป้องกันการใช้อำนาจทางเศรษฐกิจอย่างเกินขอบเขต
 
(3) การจัดตั้งหน่วยงาน อำนาจหน้าที่ และคุณสมบัติของผู้พิพากษาให้กำหนดไว้ในกฎหมาย
และการครอบครองตลาด การกำหนดกฎเกณฑ์และมาตรการอื่นใดที่เกี่ยวกับเศรษฐกิจตามหลักแห่งความเป็น
 
(4) เมื่อมีการประกาศกฎอัยการศึก ให้ศาลทหารมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีได้เบ็ดเสร็จในศาลเดียว ในคดีที่ทหารหรือเจ้าหน้าที่กลาโหม พลเรือน กระทำผิดทางอาญา คดีที่เกี่ยวกับการจารกรรมความลับทางทหาร ความผิดทางอาญาใดตามที่กำหนดไว้ในกฎหมายเกี่ยวกับการยืนยาม ด่านตรวจ การจัดหาอาหารที่มีอันตรายและเชลยศึก
ประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจอย่างมีเอกภาพระหว่างผู้ประกอบการทางเศรษฐกิจ
 
== หมวด 6 ศาลรัฐธรรมนูญ ==
มาตรา ๑๒๐ (๑) การออกใบอนุญาตให้ทำการสำรวจ ขุดค้นหรือพัฒนา ทรัพยากรธรณีและทรัพยากรทางทะเล
 
=== มาตรา 111 ===
พลังน้ำ และทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่ เพื่อประโยชน์ในทางเศรษฐกิจ สามารถกระทำได้ในระยะเวลาที่กำหนด
(1) ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจหน้าที่พิจารณาเรื่องดังต่อไปนี้
 
1. การพิพากษาชี้ขาดประเด็นกฎหมายที่ขัดหรือแย้งกับบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ ตามการร้องขอของศาลยุติธรรม
ตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
 
2. การพิพากษาเพื่อถอดถอน
(๒) รัฐมีหน้าที่คุ้มครองที่ดินและทรัพยากรธรรมชาติ และจัดให้มีแผนการพัฒนา และ
 
3. การพิจารณาตัดสินยุบพรรคการเมือง
การใช้ประโยชน์ของทรัพยากรทั้งหลายอย่างสมดุล
 
4. การพิจารณาตัดสินความขัดแย้งระหว่างองค์กรของรัฐกับองค์กรของรัฐ ระหว่างองค์กรของรัฐกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และระหว่างองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
มาตรา ๑๒๑ (๑) รัฐมีหน้าที่จัดการให้มีการใช้พื้นที่ทางการเกษตรให้เกิดประโยชน์ที่มีประสิทธิภาพสูงสุด
 
5. การพิจารณาตัดสินเกี่ยวกับเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ ตามที่กฎหมายกำหนด
การเช่าพื้นที่ทางการเกษตรมิสามารถกระทำได้
 
(2) ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ มีจำนวน 9 คน โดยได้รับการแต่งตั้งจากประธานาธิบดี
(๒) การจัดการควบคุมและการเช่าพื้นที่ทางการเกษตรให้กระทำได้ในกรณีจำเป็น
 
(3) การแต่งตั้งผู้พิพากษาตาม (2) ให้เลือกมาจากที่ประชุมรัฐสภา จำนวน 3 คน และให้ประธานศาลฎีกาเป็นผู้แต่งตั้ง จำนวน 3 คน
เพื่อให้เกิดการใช้สอยพื้นที่ทางการเกษตรที่ชอบด้วยเหตุผลและการเพิ่มผลผลิตทางการเกษตร ตามที่กฎหมาย
 
(4) ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ได้รับการแต่งตั้งโดยประธานาธิบดี โดยผ่านความเห็นชอบจากที่ประชุมรัฐสภา
กำหนด
 
=== มาตรา 112 ===
๒๓
(1) ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ มีวาระในการดำรงตำแหน่งคราวละ 6 ปี และสามารถดำรงตำแหน่งได้อีกตามที่กฎหมายกำหนด
 
(2) ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ จะต้องไม่สังกัดพรรคการเมืองและไม่มีความเกี่ยวข้องทางการเมือง
มาตรา ๑๒๒ รัฐมีอำนาจหน้าที่จัดให้มีการใช้สอย การพัฒนาและการอนุรักษ์ของพื้นที่ในประเทศ
 
(3) การถอดถอนตุลาการศาลรัฐธรรมนูญให้พ้นจากตำแหน่ง มิสามารถกระทำได้ เว้นแต่ได้กระทำความผิดที่เกี่ยวกับคดีอาญา
อย่างเป็นธรรมและเสมอภาค เพื่อให้บังเกิดผลแก่ประชาชนทั้งปวงและหลักการพื้นฐานแห่งการดำรงชีวิต
 
มาตรา 113
มาตรา ๑๒๓ (๑) รัฐมีอำนาจหน้าที่ จัดตั้ง ดำเนินการ หรือเรื่องอื่นใดที่จำเป็นในการพัฒนาและ
 
(1) ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ จะต้องลงมติเห็นชอบด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่า 6 เสียงในการพิพากษาตัดสินคดีหรือประเด็นที่เกี่ยวกับการขัดหรือแย้งกับบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญ การถอดถอนออกจากตำแหน่ง การยุบพรรคการเมือง และการพิจารณาตัดสินเกี่ยวกับเจตนารมณ์ของบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญ
สนับสนุนสหกรณ์การเกษตร สหกรณ์การประมง เพื่อการปกป้องและรักษาไว้ซึ่งการทำเกษตรกรรมและการประมง
 
(2) ศาลรัฐธรรมนูญ มีอำนาจกำหนดขอบเขตของการพิพากษาตัดสิน กฎ ระเบียบสำหรับการจัดการและกฎเกณฑ์ภายในของสำนักงานได้
(๒) รัฐมีหน้าที่บำรุงรักษาพื้นที่เศรษฐกิจของชาติ เพื่อการพัฒนาอย่างเสมอภาคของพื้นที่นั้น
 
(3) การจัดหน่วยงาน การบริหารงานและเรื่องอื่นใดที่จำเป็นของศาลรัฐธรรมนูญให้กำหนดไว้ในกฎหมาย
(๓) รัฐมีหน้าที่ปกป้อง และบำรุงรักษาธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม
 
== หมวด 7 คณะกรรมการการเลือกตั้ง ==
(๔) รัฐมีหน้าที่ปกป้องผลประโยชน์ของเกษตรกรและชาวประมงด้วยการกำหนด
 
=== มาตรา 114 ===
มาตรการทั้งหลาย เพื่อความเป็นเสถียรภาพของราคาและแก้ไขปรับปรุงดุลบัญชีเดินสะพัดและความสมดุลของ
(1) ให้จัดตั้งคณะกรรมการการเลือกตั้งขึ้นเพื่อบริหารจัดการเลือกตั้ง การลงประชามติให้เป็นไปอย่างยุติธรรม และกิจการที่เกี่ยวกับพรรคการเมือง
 
(2) คณะกรรมการการเลือกตั้ง ประกอบด้วย กรรมการที่ได้รับการแต่งตั้งโดยประธานาธิบดีจำนวน 3 คน เลือกมาจากที่ประชุมรัฐสภา จำนวน 3 คน และได้รับการแต่งตั้งโดยประธานศาลฎีกา จำนวน 3 คน และให้เลือกประธานขึ้นมาจากกรรมการในคณะ
อุปสงค์ อุปทาน ของผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร
 
(3) กรรมการการเลือกตั้งมีวาระในการดำรงตำแหน่งคราวละ 6 ปี
(๕) รัฐมีหน้าที่บำรุงรักษาเกษตรกร ชาวประมง และธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม
 
(4) กรรมการการเลือกตั้งจะต้องไม่สังกัดพรรคการเมือง และไม่มีความเกี่ยวข้องทางการเมือง
บนหลักการพึ่งพาตนเอง และให้หลักประกันของกิจการและการพัฒนาอย่างเสรีภาพ
 
(5) การถอดถอนกรรมการการเลือกตั้งให้พ้นจากตำแหน่งมิสามารถกระทำได้ เว้นแต่ได้กระทำความผิดที่เกี่ยวกับคดีอาญา
มาตรา ๑๒๔ รัฐมีหน้าที่ให้หลักประกันในเรื่องของการปกป้องคุ้มครองผู้บริโภค เพื่อกระตุ้นให้เกิด
 
(6) คณะกรรมการการเลือกตั้งมีอำนาจกำหนดขอบเขตการจัดการเลือกตั้ง การจัดการลงประชามติ การบัญญัติกฎหมายที่เกี่ยวกับกิจการพรรคการเมือง กฎระเบียบสำหรับการจัดการและกฎเกณฑ์ภายในของสำนักงานได้
การปรับปรุงคุณภาพผลิตภัณฑ์และชี้นำพฤติกรรมการบริโภคอย่างสร้างสรรค์ตามที่กฎหมายกำหนด
 
(7) คณะกรรมการการเลือกตั้งในแต่ละระดับสามารถจัดหน่วยงาน การบริหารงานและเรื่องอื่นใดที่จำเป็นตามที่กฎหมายกำหนด
มาตรา ๑๒๕ รัฐพึงสนับสนุนการค้าระหว่างประเทศ และบัญญัติกฎหมายและประสานงานการค้า
 
=== มาตรา 115 ===
ต่างประเทศด้วย
(1) คณะกรรมการการเลือกตั้งแต่ละระดับมีอำนาจมอบหมายหรือสั่งการให้องค์กรของฝ่ายบริหารดำเนินการจัดทำรายชื่อของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง สถานที่ใช้สิทธิเลือกตั้ง และสถานที่ใช้สิทธิออกเสียงประชามติ หรือให้ดำเนินการอย่างอื่นที่มีความจำเป็นตามที่กำหนดไว้ในกฎหมาย
 
(2) องค์กรฝ่ายบริหารที่ได้รับมอบหมายตาม (1) จะต้องดำเนินการตามคำสั่งนั้น
มาตรา ๑๒๖ จะมีการโอนธุรกิจของเอกชนไปเป็นของรัฐหรือของรัฐวิสาหกิจมิได้ และรัฐจะเข้าควบคุม
 
=== มาตรา 116 ===
การบริหารงานธุรกิจเอกชนมิได้ เว้นแต่เฉพาะกรณีที่กำหนดไว้ในกฎหมายเพื่อความจำเป็นในการป้องกันประเทศ
(1) การรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งให้กำหนดไว้ในกฎหมายเกี่ยวกับการบริหารจัดการของคณะกรรมการการเลือกตั้งแต่ละระดับ และต้องให้หลักประกันของโอกาสอย่างเท่าเทียมกัน
 
(2) ค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งไม่สามารถเรียกเก็บจากพรรคการเมืองหรือผู้สมัครรับเลือกตั้งได้ เว้นแต่เป็นเรื่องที่กำหนดไว้ในกฎหมาย
และเศรษฐกิจของชาติ
 
== หมวด 8 การปกครองส่วนท้องถิ่น ==
มาตรา ๑๒๗ (๑) รัฐมีหน้าที่พัฒนาเศรษฐกิจของชาติด้วยการปฏิรูปวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี ข้อมูลข่าวสาร
 
=== มาตรา 117 ===
และทรัพยากรมนุษย์
(1) องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น มีหน้าที่ในการบริหารจัดการและรับผิดชอบเกี่ยวกับสวัสดิการของประชาชนในท้องถิ่น การจัดการทรัพย์สินของท้องถิ่น และการบัญญัติกฎข้อบังคับหรือระเบียบเกี่ยวกับการปกครองในท้องถิ่นภายในขอบเขตของกฎหมาย
 
(2) รูปแบบและประเภทของการปกครองส่วนท้องถิ่น ให้กำหนดไว้ในกฎหมาย
(๒) รัฐต้องสร้างระบบความเป็นมาตรฐานของชาติ
 
=== มาตรา 118 ===
(๓) ประธานาธิบดีมีอำนาจจัดตั้งองค์กรที่ปรึกษาเพื่อดำเนินการตาม (๑)
(1) ให้มีสภาท้องถิ่นที่อยู่ในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
 
(2) การกำหนดโครงสร้าง อำนาจหน้าที่ การเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่น การกำหนดวิธีการคัดเลือกประธานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และการกำหนดโครงสร้าง อำนาจหน้าที่และเรื่องอื่นที่สำคัญให้กำหนดไว้ในกฎหมาย
หมวด ๑๐
 
== หมวด 9 เศรษฐกิจ ==
การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ
มาตรา 119
 
(1) ระบบเศรษฐกิจของสาธารณรัฐเกาหลี มีรากฐานอยู่บนหลักแห่งการเคารพเสรีภาพและความคิดสร้างสรรค์ในกิจการทางเศรษฐกิจของธุรกิจและของส่วนบุคคล
มาตรา ๑๒๘ (๑) ญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญจะเสนอได้โดยผ่านความเห็นชอบจากที่ประชุมรัฐสภา
 
(2) รัฐมีอำนาจหน้าที่สนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจของชาติอย่างสมดุลและการกระจายรายได้อย่างมีเสถียรภาพและเป็นธรรม การป้องกันการใช้อำนาจทางเศรษฐกิจอย่างเกินขอบเขตและการครอบครองตลาด การกำหนดกฎเกณฑ์และมาตรการอื่นใดที่เกี่ยวกับเศรษฐกิจตามหลักแห่งความเป็นประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจอย่างมีเอกภาพระหว่างผู้ประกอบการทางเศรษฐกิจ
ด้วยคะแนนเสียงเกินกึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดหรือโดยประธานาธิบดี
 
=== มาตรา 120 ===
(๒) การแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อขยายระยะเวลาการดำรงตำแหน่งหรือเปลี่ยนแปลงวาระ
(1) การออกใบอนุญาตให้ทำการสำรวจ ขุดค้นหรือพัฒนา ทรัพยากรธรณีและทรัพยากรทางทะเลพลังน้ำ และทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่ เพื่อประโยชน์ในทางเศรษฐกิจ สามารถกระทำได้ในระยะเวลาที่กำหนดตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
 
(2) รัฐมีหน้าที่คุ้มครองที่ดินและทรัพยากรธรรมชาติ และจัดให้มีแผนการพัฒนา และการใช้ประโยชน์ของทรัพยากรทั้งหลายอย่างสมดุล
การดำรงตำแหน่งของประธานาธิบดีให้มีผลบังคับใช้ในสมัยประธานาธิบดีคนถัดไป
 
=== มาตรา 121 ===
๒๔
(1) รัฐมีหน้าที่จัดการให้มีการใช้พื้นที่ทางการเกษตรให้เกิดประโยชน์ที่มีประสิทธิภาพสูงสุดการเช่าพื้นที่ทางการเกษตรมิสามารถกระทำได้
 
(2) การจัดการควบคุมและการเช่าพื้นที่ทางการเกษตรให้กระทำได้ในกรณีจำเป็นเพื่อให้เกิดการใช้สอยพื้นที่ทางการเกษตรที่ชอบด้วยเหตุผลและการเพิ่มผลผลิตทางการเกษตร ตามที่กฎหมายกำหนด
มาตรา ๑๒๙ ญัตติแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญที่เสนอโดยประธานาธิบดี ต้องประกาศให้ประชาชนทราบ
 
=== มาตรา 122 ===
ไม่น้อยกว่า ๒๐ วัน
รัฐมีอำนาจหน้าที่จัดให้มีการใช้สอย การพัฒนาและการอนุรักษ์ของพื้นที่ในประเทศอย่างเป็นธรรมและเสมอภาค เพื่อให้บังเกิดผลแก่ประชาชนทั้งปวงและหลักการพื้นฐานแห่งการดำรงชีวิต
 
=== มาตรา 123 ===
มาตรา ๑๓๐ (๑) รัฐสภาต้องผ่านความเห็นชอบญัตติแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญภายใน ๖๐ วัน นับตั้งแต่
(1) รัฐมีอำนาจหน้าที่ จัดตั้ง ดำเนินการ หรือเรื่องอื่นใดที่จำเป็นในการพัฒนาและสนับสนุนสหกรณ์การเกษตร สหกรณ์การประมง เพื่อการปกป้องและรักษาไว้ซึ่งการทำเกษตรกรรมและการประมง
 
(2) รัฐมีหน้าที่บำรุงรักษาพื้นที่เศรษฐกิจของชาติ เพื่อการพัฒนาอย่างเสมอภาคของพื้นที่นั้น
วันที่ได้มีการประกาศญัตติแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญนั้น และต้องผ่านความเห็นด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่า
 
(3) รัฐมีหน้าที่ปกป้อง และบำรุงรักษาธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม
๒ ใน ๓ ของจำนวนสมาชิกทั้งหมด
 
(4) รัฐมีหน้าที่ปกป้องผลประโยชน์ของเกษตรกรและชาวประมงด้วยการกำหนดมาตรการทั้งหลาย เพื่อความเป็นเสถียรภาพของราคาและแก้ไขปรับปรุงดุลบัญชีเดินสะพัดและความสมดุลของอุปสงค์ อุปทาน ของผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร
(๒) ให้มีการทำประชามติ ญัตติแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญภายใน ๓๐ วัน นับตั้งแต่ที่ได้
 
(5) รัฐมีหน้าที่บำรุงรักษาเกษตรกร ชาวประมง และธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมบนหลักการพึ่งพาตนเอง และให้หลักประกันของกิจการและการพัฒนาอย่างเสรีภาพ
ผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภา และต้องมีจำนวนผู้ใช้สิทธิเกินกึ่งหนึ่งของจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั้งหมด และ
 
=== มาตรา 124 ===
ต้องมีคะแนนเสียงเห็นด้วยเกินกึ่งหนึ่งของจำนวนผู้ใช้สิทธิทั้งหมด
รัฐมีหน้าที่ให้หลักประกันในเรื่องของการปกป้องคุ้มครองผู้บริโภค เพื่อกระตุ้นให้เกิดการปรับปรุงคุณภาพผลิตภัณฑ์และชี้นำพฤติกรรมการบริโภคอย่างสร้างสรรค์ตามที่กฎหมายกำหนด
 
=== มาตรา 125 ===
(๓) ญัตติแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญที่ผ่านการเห็นด้วยของการทำประชามติตาม (๒)
รัฐพึงสนับสนุนการค้าระหว่างประเทศ และบัญญัติกฎหมายและประสานงานการค้าต่างประเทศด้วย
 
=== มาตรา 126 ===
ให้บรรจุไว้ในบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ และประธานาธิบดีต้องประกาศให้มีผลบังคับใช้
จะมีการโอนธุรกิจของเอกชนไปเป็นของรัฐหรือของรัฐวิสาหกิจมิได้ และรัฐจะเข้าควบคุมการบริหารงานธุรกิจเอกชนมิได้ เว้นแต่เฉพาะกรณีที่กำหนดไว้ในกฎหมายเพื่อความจำเป็นในการป้องกันประเทศและเศรษฐกิจของชาติ
 
=== มาตรา 127 ===
D: สมใจ, นิศาพร – ผู้แปล/งานแปลรัฐธรรมนูญสาธารณรัฐเกาหลี/กัลยา พิมพ์/25 ส.ค. 58/แก้ไข 9 ต.ค. 58
(1) รัฐมีหน้าที่พัฒนาเศรษฐกิจของชาติด้วยการปฏิรูปวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี ข้อมูลข่าวสารและทรัพยากรมนุษย์
 
(2) รัฐต้องสร้างระบบความเป็นมาตรฐานของชาติ
 
(3) ประธานาธิบดีมีอำนาจจัดตั้งองค์กรที่ปรึกษาเพื่อดำเนินการตาม (1)
 
== หมวด 10 การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ==
 
=== มาตรา 128 ===
(1) ญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญจะเสนอได้โดยผ่านความเห็นชอบจากที่ประชุมรัฐสภาด้วยคะแนนเสียงเกินกึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดหรือโดยประธานาธิบดี
 
(2) การแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อขยายระยะเวลาการดำรงตำแหน่งหรือเปลี่ยนแปลงวาระการดำรงตำแหน่งของประธานาธิบดีให้มีผลบังคับใช้ในสมัยประธานาธิบดีคนถัดไป
 
=== มาตรา 129 ===
ญัตติแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญที่เสนอโดยประธานาธิบดี ต้องประกาศให้ประชาชนทราบไม่น้อยกว่า 20 วัน
 
=== มาตรา 130 ===
(1) รัฐสภาต้องผ่านความเห็นชอบญัตติแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญภายใน 60 วัน นับตั้งแต่วันที่ได้มีการประกาศญัตติแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญนั้น และต้องผ่านความเห็นด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่า 2 ใน 3 ของจำนวนสมาชิกทั้งหมด
 
(2) ให้มีการทำประชามติ ญัตติแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญภายใน 30 วัน นับตั้งแต่ที่ได้ผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภา และต้องมีจำนวนผู้ใช้สิทธิเกินกึ่งหนึ่งของจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั้งหมด และต้องมีคะแนนเสียงเห็นด้วยเกินกึ่งหนึ่งของจำนวนผู้ใช้สิทธิทั้งหมด
 
(3) ญัตติแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญที่ผ่านการเห็นด้วยของการทำประชามติตาม (2) ให้บรรจุไว้ในบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ และประธานาธิบดีต้องประกาศให้มีผลบังคับใช้
เวียงจันทน์, วันที่ 6 พฤษภาคม 2003<br>
สะหมาน วิยะเกด
ประธานสภาแห่งชาติ
 
[[หมวดหมู่:รัฐธรรมนูญ]]