ผลต่างระหว่างรุ่นของ "ปรัชญาหลังนวยุค"

เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
Nullzerobot (คุย | ส่วนร่วม)
โรบอต: เก็บกวาด
Darrine (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
บรรทัดที่ 4:
 
 
# กระแสข้อกังขา
 
* <big>อภิปรัชญาของฮายเซนเบิร์ก</big> (Werner Heisenberg ค.ศ.1901-1976) หลักความไม่แน่นอนที่เขาตั้งขึ้นได้สะเทือนถึงหลักค้ำประกันความเป็นจริงของระบบเครือข่ายตามกระบวนทรรศน์นวยุค เพราะเป็นการค้นพบที่นอกเหนือไปกว่ากฎวิทยาศาสตร์ที่ค้นพบกันอยู่ แต่ไม่มีกฎเกณฑ์ที่แน่นอนใดที่จะสรุปเป็นกฎหรือพยากรณ์ได้ผ่านกระบวนการวิทยาศาสตร์ หากแต่เป็นความจริงที่ค้นพบ หลักการความไม่แน่นอนนี้จึงทำให้ทฤษฎีแควนเทิม (Quantum theory) ซึ่งแสดงความตายตัวของอนุภาคซึ่งเป็นพื้นฐานของทุกสิ่ง กฎฟิสิกส์ที่ควบคุมตรงไปตรงมา และแสดงการพยากรณ์ที่ได้รับการยอมรับในยุคแรกของกระบวนทรรศน์นวยุค เป็นหลักค้ำประกันความจริงบนระบบเครือข่ายที่ใช้วิธีการวิทยาศาสตร์ในการพิสูจน์สิ่งต่างๆ เกิดการสั่นไหวอย่างรุนแรง เพราะความไม่แน่นอนทำให้ไม่อาจพยากรณ์ได้
* <big>อภิปรัชญาของแรมซีย์</big>(Frank Ramsey ค.ศ.1903-1930) ได้แสดงว่าความน่าจะเป็นคือระดับวัดความเชื่อของผู้ใช้เหตุผล แม้ว่าความน่าจะเป็นจะมีค่าสูงเท่าใด และเชื่อว่าใกล้เคียงกับความจริงวัตถุวิสัยที่สุด แต่สำหรับผู้ใช้เหตุผลก็เป็นเพียงระดับความเชื่อถือต่อข้อมูลที่ได้ เพราะการใช้ข้อมูลของบุคคลเป็นเหตุผลทางจิตวิทยา ซึ่งไม่อาจใช้สูตรคำนวณได้ มนุษย์มีสิทธิที่จะทำหรือไม่ทำตามความน่าจะเป็นของข้อมูลที่คำนวณได้ ขึ้นกับระดับความเชื่อต่อข้อมูลในเรื่องนั้นๆ เป็นการใช้ความน่าเชื่อถือตามความรู้สึกของตน โดยไม่ต้องสนใจว่าคนอื่นจะมีความแน่ใจระดับใดในเรื่องเดียวกัน
*
* <big>อภิปรัชญาของเวสเทอร์มาร์ก</big>(Edvard Westermarck ค.ศ.1862-1939) ได้ชี้ว่าหลักจริยธรรมเป็นสัมพัทธ์ตามวัฒนธรรมของสังคมที่ตนจำกัดอยู่ กฎจริยศาสตร์เป็นอัตวิสัยเกิดจากอาเวค (emotion) ไม่ใช่จากเหตุผล หน้าที่ของจริยศาสตร์จึงไม่ใช่การวางกฎเกณฑ์สำหรับความประพฤติ แต่ต้องค้นคว้าหาข้อมูลของความสำนึกทางศีลธรรม มนุษย์คิดว่ากฎจริยธรรมเป็นหลักตายตัวก็เพราะขีปนา (projection) อาเวคศีลธรรมเป็นวัตถุวิสัย ก็เพราะได้รับการหนุนโดยศาสนา ประเพณี และอุดมคติ วัตถุวิสัยนิยมทางจริยศาสตร์ก็คือการยืนยันว่าหลักเกณฑ์การตัดสินดีชั่วที่สมมติว่ามีอยู่จริงนอกความคิดเห็นของบุคคลแต่ละคน บุคคลแต่ละคนอาจจะเข้าใจผิดหรือไม่ก็ตัดสินไปโดยพละการอย่างผิดๆ ได้โดยไม่กระทบกระเทือนต่อความเที่ยงตรงของหลักเกณฑ์ที่สมมติไว้ แต่อย่างไรก็ตามหลักเกณฑ์ที่สมมติกันขึ้นมานี้ก็มีต่างๆ กันไปตามแต่พื้นฐานของระบบสังคมนั้นๆ ทำให้มีหลักเกณฑ์หลากหลาย ซึ่งหากมีหลักเกณฑ์ที่หลากหลายเสียแล้วจะถูกไปหมดทุกระบบย่อมเป็นไปไม่ได้ ต่างระบบต่างก็มีเหตุผลและข้อบกพร่องของตน ดังนั้นจริยศาสตร์จึงเป็นเรื่องอัตวิสัย
* <big>อภิปรัชญาของแรมซีย์</big>(Frank Ramsey ค.ศ.1903-1930) ได้แสดงว่าความน่าจะเป็นคือระดับวัดความเชื่อของผู้ใช้เหตุผล แม้ว่าความน่าจะเป็นจะมีค่าสูงเท่าใด และเชื่อว่าใกล้เคียงกับความจริงวัตถุวิสัยที่สุด แต่สำหรับผู้ใช้เหตุผลก็เป็นเพียงระดับความเชื่อถือต่อข้อมูลที่ได้ เพราะการใช้ข้อมูลของบุคคลเป็นเหตุผลทางจิตวิทยา ซึ่งไม่อาจใช้สูตรคำนวณได้ มนุษย์มีสิทธิที่จะทำหรือไม่ทำตามความน่าจะเป็นของข้อมูลที่คำนวณได้ ขึ้นกับระดับความเชื่อต่อข้อมูลในเรื่องนั้นๆ เป็นการใช้ความน่าเชื่อถือตามความรู้สึกของตน โดยไม่ต้องสนใจว่าคนอื่นจะมีความแน่ใจระดับใดในเรื่องเดียวกัน
* <big>อภิปรัชญาของวิทเกินชทายน์</big> (Ludwig Wittgenstein ค.ศ.1889-1951 ) ภาษาพัฒนาไปตามความสำนึก ความสำนึกทั้งหลายของมนุษย์มีหลากหลายแต่แสดงออกผ่านทางภาษา ภาษาที่ใช้กันก็คือภาษาสามัญ ซึ่งเป็นภาษาของสังคมและเพื่อสังคม มนุษย์ไม่สามารถใช้ภาษาส่วนตัวของใครของมันในการสื่อสาร เพราะจะไม่มีทางเข้าใจร่วมได้ การอยู่ร่วมกันเป็นสังคมต้องการสื่อสารถึงกัน จึงพัฒนาภาษามาเป็นเครื่องมือ ภาษาสามัญเป็นภาษาสังคมและมีความหมายลึกซึ้งอยู่ในตัว ซึ่งภาษาอุดมคติทำได้ในขอบเขตจำกัดมาก ดังนั้นควรหาความหมายจากภาษาสามัญด้วยทฤษฎีภาพ (picture theory) เพราะว่าความหมายของภาษาอาจเป็นไปอย่างแท้จริง หรือหลอกลวงเราไว้แต่แรกก็ได้ เราจึงต้องใช้ประโยคที่ม่งแสดงความสัมพัทธ์กับโลกแห่งความเป็นจริง
*
* <big>อภิปรัชญาของเฮเกล</big> (Friedrich Hegel ค.ศ.1770-1831 ) มองว่าความรู้ทั้งหลายที่เราคิดว่าเป็นความจริงและความเป็นจริงล้วนแต่ตรงกับระบบเครือข่ายตรรกะ ดังนั้นจึงเป็นระบบเครือข่ายตรรกะนั่นเองที่ขีปนาออกไปภายนอกความคิด แม้แต่จิตของเราก็เป็นเพียงขีปนาการของจิตดวงใหญ่ดวงเดียวกันทั้งสิ้นที่ขีปนาตัวเองออกเพื่อมีการชนะอุปสรรค จะได้ก้าวหน้า ดังนั้นความเป็นจริงมีแต่จิตและชีปนาการของจิต ความจริงคือการสร้างสรรค์ของจิตเท่านั้น
* <big>อภิปรัชญาของเวสเทอร์มาร์ก</big>(Edvard Westermarck ค.ศ.1862-1939) ได้ชี้ว่าหลักจริยธรรมเป็นสัมพัทธ์ตามวัฒนธรรมของสังคมที่ตนจำกัดอยู่ กฎจริยศาสตร์เป็นอัตวิสัยเกิดจากอาเวค (emotion) ไม่ใช่จากเหตุผล หน้าที่ของจริยศาสตร์จึงไม่ใช่การวางกฎเกณฑ์สำหรับความประพฤติ แต่ต้องค้นคว้าหาข้อมูลของความสำนึกทางศีลธรรม มนุษย์คิดว่ากฎจริยธรรมเป็นหลักตายตัวก็เพราะขีปนา (projection) อาเวคศีลธรรมเป็นวัตถุวิสัย ก็เพราะได้รับการหนุนโดยศาสนา ประเพณี และอุดมคติ วัตถุวิสัยนิยมทางจริยศาสตร์ก็คือการยืนยันว่าหลักเกณฑ์การตัดสินดีชั่วที่สมมติว่ามีอยู่จริงนอกความคิดเห็นของบุคคลแต่ละคน บุคคลแต่ละคนอาจจะเข้าใจผิดหรือไม่ก็ตัดสินไปโดยพละการอย่างผิดๆ ได้โดยไม่กระทบกระเทือนต่อความเที่ยงตรงของหลักเกณฑ์ที่สมมติไว้ แต่อย่างไรก็ตามหลักเกณฑ์ที่สมมติกันขึ้นมานี้ก็มีต่างๆ กันไปตามแต่พื้นฐานของระบบสังคมนั้นๆ ทำให้มีหลักเกณฑ์หลากหลาย ซึ่งหากมีหลักเกณฑ์ที่หลากหลายเสียแล้วจะถูกไปหมดทุกระบบย่อมเป็นไปไม่ได้ ต่างระบบต่างก็มีเหตุผลและข้อบกพร่องของตน ดังนั้นจริยศาสตร์จึงเป็นเรื่องอัตวิสัย
*
* <big>อภิปรัชญาของวิทเกินชทายน์</big> (Ludwig Wittgenstein ค.ศ.1889-1951 ) ภาษาพัฒนาไปตามความสำนึก ความสำนึกทั้งหลายของมนุษย์มีหลากหลายแต่แสดงออกผ่านทางภาษา ภาษาที่ใช้กันก็คือภาษาสามัญ ซึ่งเป็นภาษาของสังคมและเพื่อสังคม มนุษย์ไม่สามารถใช้ภาษาส่วนตัวของใครของมันในการสื่อสาร เพราะจะไม่มีทางเข้าใจร่วมได้ การอยู่ร่วมกันเป็นสังคมต้องการสื่อสารถึงกัน จึงพัฒนาภาษามาเป็นเครื่องมือ ภาษาสามัญเป็นภาษาสังคมและมีความหมายลึกซึ้งอยู่ในตัว ซึ่งภาษาอุดมคติทำได้ในขอบเขตจำกัดมาก ดังนั้นควรหาความหมายจากภาษาสามัญด้วยทฤษฎีภาพ (picture theory) เพราะว่าความหมายของภาษาอาจเป็นไปอย่างแท้จริง หรือหลอกลวงเราไว้แต่แรกก็ได้ เราจึงต้องใช้ประโยคที่ม่งแสดงความสัมพัทธ์กับโลกแห่งความเป็นจริง
*
* <big>อภิปรัชญาของเฮเกล</big> (Friedrich Hegel ค.ศ.1770-1831 ) มองว่าความรู้ทั้งหลายที่เราคิดว่าเป็นความจริงและความเป็นจริงล้วนแต่ตรงกับระบบเครือข่ายตรรกะ ดังนั้นจึงเป็นระบบเครือข่ายตรรกะนั่นเองที่ขีปนาออกไปภายนอกความคิด แม้แต่จิตของเราก็เป็นเพียงขีปนาการของจิตดวงใหญ่ดวงเดียวกันทั้งสิ้นที่ขีปนาตัวเองออกเพื่อมีการชนะอุปสรรค จะได้ก้าวหน้า ดังนั้นความเป็นจริงมีแต่จิตและชีปนาการของจิต ความจริงคือการสร้างสรรค์ของจิตเท่านั้น
 
 
# กระแสรื้อถอน
 
* <big>อภิปรัชญาของนีทเฌอ</big>(Friedrich Nietzsche ค.ศ.1844-1900) แสดงอภิปรัชญาผ่านเรื่อง “พระเจ้าตายแล้ว” และชี้ว่าความเป็นจริงเป็นพลังที่แสวงหาอำนาจอย่างตาบอด ไม่อยู่นิ่งตายตัวและไม่เป็นระบบระเบียบ และอภิปรัชญาที่ว่าความจริงอันติมะ ซึ่งได้แก่เจตจำนงที่เป็นพลังตาบอด ไม่ใช่จิตที่รู้คิดด้วยปัญญาเหตุผล การดิ้นรนของเจตจำนงไม่จำเป็นต้องประสานกันเป็นระบบ เพราะแต่ละอย่างที่เกิดขึ้น ขึ้นกับว่าขณะนั้นพลังดิ้นรนกำลังดิ้นรนไปทางไหนตามยถากรรม ซึ่งไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับอดีตและไม่จำเป็นต้องมีแผนสู่อนาคต ความเป็นสากลเป็นเพียงสถิติบันทึก การเอาจริงเอาจังกับกฎสากลจึงเป็นการหลงใหล การสร้างกฎเกณฑ์ขึ้นธรรมชาติจึงเป็นการบิดเบือนและหลอกตนเองของมนุษย์ จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องกำจัดทิ้งไปเพื่อให้มนุษย์ได้มีความคิดเสรีไร้พันธะ
* <big>อภิปรัชญาของซาร์ต</big> (Jean Paul Sartre ค.ศ.1905-1980) เน้นว่าทุกคนนั้นอิสระและรับผิดชอบในการกระทำของตนตามแนวทางอัตถิภาวะนิยม (Existentialism) มีเสรีภาพของมนุษย์ในแง่ปัจเจกชน และเสนอแนวทาง 3 กล้า ได้แก่
*
* <big>อภิปรัชญาของซาร์ต</big> (Jean Paul Sartre ค.ศ.1905-1980) เน้นว่าทุกคนนั้นอิสระและรับผิดชอบในการกระทำของตนตามแนวทางอัตถิภาวะนิยม (Existentialism) มีเสรีภาพของมนุษย์ในแง่ปัจเจกชน และเสนอแนวทาง 3 กล้า ได้แก่
 
# กล้าเผชิญปัญหา
เส้น 27 ⟶ 22:
# กล้าลงมือทำด้วยความรับผิดชอบ
 
* <big>อภิปรัชญาของฟูโกลต์</big> (Michel Foucault ค.ศ.1926-1984) มองว่าจิตขีปนาความเป็นจริงและความจริงให้กับสังคม ซึ่งก็คือความต้องการของผู้มีอำนาจในสังคมที่ขีปนาออกมา ปัญญาชนในแต่ละยุคเป็นผู้กำหนดความคิดของสังคมก็เป็นไปตามความต้องการของผู้มีอำนาจที่สนับสนุนปัญญาชนนั้นๆ อยู่
*
* <big>อภิปรัชญาของฟูโกลต์</big> (Michel Foucault ค.ศ.1926-1984) มองว่าจิตขีปนาความเป็นจริงและความจริงให้กับสังคม ซึ่งก็คือความต้องการของผู้มีอำนาจในสังคมที่ขีปนาออกมา ปัญญาชนในแต่ละยุคเป็นผู้กำหนดความคิดของสังคมก็เป็นไปตามความต้องการของผู้มีอำนาจที่สนับสนุนปัญญาชนนั้นๆ อยู่
 
# กระแสรื้อสร้างใหม่
* <big>อภิปรัชญาของเกิทซ์</big>(Clifford Geertz) นิยามวัฒนธรรมว่าเป็นชุดหนึ่งของสัญญะที่กำหนดกรอบชีวิต มนุษย์สากลไม่มีจริง สิ่งสากลทางวัฒนธรรมอันได้แก่ความเชื่อร่วมกันของมนุษย์ทุกคนก็ไม่มีจริง เพราะว่าค้นหาไม่พบ สิ่งที่พบก็คือความแตกต่าง มีศาสนาหลายรูปแบบที่ยึดถือความเชื่อแตกต่างกัน ความเชื่อถือและการปฏิบัติก็แตกต่างกัน ยังไม่พบรูปแบบร่วมของการปฏิบัติตนในสังคมจากวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน นั่นคือไม่พบหนทางที่จะเป็นสังคมสมบูรณ์แบบตามแนวคิดนวยุคนิยม มนุษย์คือที่รวมของความหลากหลาย คือพร้อมที่จะเรียนรู้ และเข้าใจวัฒนธรรมอื่นๆ โดยที่มนุษย์เองยังมีความสามารถในการปรับตัวตามวัฒนธรรมต่างๆ ที่ได้เรียนรู้มาและเห็นว่าดีได้โดยไม่มีขอบเขตจำกัดใดๆ เจตจำนงเลือกอย่างเสรีเป็นเครื่องมือธรรมชาติที่สำคัญ ร่วมกับความสามารถจำอย่างไม่มีขีดจำกัด ทำให้มนุษย์จำการปรับตัวกับสิ่งแวดล้อมได้ สามารถรวบรวมไว้ปฏิบัติและถ่ายทอดสืบต่อมาด้วยภาษาและการปฏิบัติเป็นตัวอย่าง กลายเป็นประเพณีและวัฒนธรรมประจำสังคมนั้นๆ
 
# กระแสรื้อสร้างใหม่
 
สรุปได้ว่าแนวความคิดหลักของกระบวนทรรศน์หลังนวยุคเชื่อว่า ความเป็นจริงที่กล่าวอ้างนั้นเป็นเพียงความเชื่อถือทางภาษาเท่านั้น และไม่เชื่อว่ามนุษย์สามารถรู้ความจริงเชิงวัตถุวิสัยได้และความรู้ที่ได้ก็เป็นเพียงความเชื่อทางภาษาเท่านั้น จึงมีทรรศนะต่อระบบความรู้ว่าเป็นเรื่องเล่า (narrative) เรื่องหนึ่งเท่านั้น ซึ่งนิยมแบ่งเรื่องเล่าออกเป็นยุคก่อนนวยุคนิยม(ยุคโบราณ ยุคกลาง) ที่นิยมทำภาษาให้มีความหมายด้วยเรื่องปรัมปรา(myth) และเรื่องเล่า (narrative) โดยเชื่อว่ามีความหมายตรงกับความเป็นจริงอยู่บ้าง แต่ไม่มีความเป็นจริงวัตถุวิสัยอย่างแท้จริง เพราะมีส่วนอัตวิสัยของผู้เล่านำเข้ามาแทรกไว้ ต่อมาเมื่อมาถึงนวยุคนิยมก็พยายามปลดเปลื้องภาษาจากความหมายปรัมปราและเรื่องเล่า เพราะถือว่ามีความหมายไม่ตรงกับความเป็นจริง ตามความเชื่อของนวยุคนิยมที่ว่า มีความจริงวัตถุวิสัยในระบบความรู้ ซึ่งความรู้ที่เชื่อว่าความจริงต้องมีวัตถุวิสัยที่ตรงกัน 3 อย่าง คือ ความเป็นจริง ความคิด และภาษา เป็นระบบเครือข่าย (systematic network) ของนวยุคภาพ และได้สร้างความหมายใหม่ให้กับภาษาด้วยเหตุผล (อุปนัยและนิรนัย) และระบบที่ทำให้ความหมายเก่าที่มีความหมายโฉมหน้าใหม่
* <big>อภิปรัชญาของเกิทซ์</big>(Clifford Geertz) นิยามวัฒนธรรมว่าเป็นชุดหนึ่งของสัญญะที่กำหนดกรอบชีวิต มนุษย์สากลไม่มีจริง สิ่งสากลทางวัฒนธรรมอันได้แก่ความเชื่อร่วมกันของมนุษย์ทุกคนก็ไม่มีจริง เพราะว่าค้นหาไม่พบ สิ่งที่พบก็คือความแตกต่าง มีศาสนาหลายรูปแบบที่ยึดถือความเชื่อแตกต่างกัน ความเชื่อถือและการปฏิบัติก็แตกต่างกัน ยังไม่พบรูปแบบร่วมของการปฏิบัติตนในสังคมจากวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน นั่นคือไม่พบหนทางที่จะเป็นสังคมสมบูรณ์แบบตามแนวคิดนวยุคนิยม มนุษย์คือที่รวมของความหลากหลาย คือพร้อมที่จะเรียนรู้ และเข้าใจวัฒนธรรมอื่นๆ โดยที่มนุษย์เองยังมีความสามารถในการปรับตัวตามวัฒนธรรมต่างๆ ที่ได้เรียนรู้มาและเห็นว่าดีได้โดยไม่มีขอบเขตจำกัดใดๆ เจตจำนงเลือกอย่างเสรีเป็นเครื่องมือธรรมชาติที่สำคัญ ร่วมกับความสามารถจำอย่างไม่มีขีดจำกัด ทำให้มนุษย์จำการปรับตัวกับสิ่งแวดล้อมได้ สามารถรวบรวมไว้ปฏิบัติและถ่ายทอดสืบต่อมาด้วยภาษาและการปฏิบัติเป็นตัวอย่าง กลายเป็นประเพณีและวัฒนธรรมประจำสังคมนั้นๆ
 
 
สรุปได้ว่าแนวความคิดหลักของกระบวนทรรศน์หลังนวยุคเชื่อว่า ความเป็นจริงที่กล่าวอ้างนั้นเป็นเพียงความเชื่อถือทางภาษาเท่านั้น และไม่เชื่อว่ามนุษย์สามารถรู้ความจริงเชิงวัตถุวิสัยได้และความรู้ที่ได้ก็เป็นเพียงความเชื่อทางภาษาเท่านั้น จึงมีทรรศนะต่อระบบความรู้ว่าเป็นเรื่องเล่า (narrative) เรื่องหนึ่งเท่านั้น ซึ่งนิยมแบ่งเรื่องเล่าออกเป็นยุคก่อนนวยุคนิยม(ยุคโบราณ ยุคกลาง) ที่นิยมทำภาษาให้มีความหมายด้วยเรื่องปรัมปรา(myth) และเรื่องเล่า(narrative) โดยเชื่อว่ามีความหมายตรงกับความเป็นจริงอยู่บ้าง แต่ไม่มีความเป็นจริงวัตถุวิสัยอย่างแท้จริง เพราะมีส่วนอัตวิสัยของผู้เล่านำเข้ามาแทรกไว้ ต่อมาเมื่อมาถึงนวยุคนิยมก็พยายามปลดเปลื้องภาษาจากความหมายปรัมปราและเรื่องเล่า เพราะถือว่ามีความหมายไม่ตรงกับความเป็นจริง ตามความเชื่อของนวยุคนิยมที่ว่า มีความจริงวัตถุวิสัยในระบบความรู้ ซึ่งความรู้ที่เชื่อว่าความจริงต้องมีวัตถุวิสัยที่ตรงกัน 3 อย่าง คือ ความเป็นจริง ความคิด และภาษา เป็นระบบเครือข่าย (systematic network) ของนวยุคภาพ และได้สร้างความหมายใหม่ให้กับภาษาด้วยเหตุผล (อุปนัยและนิรนัย) และระบบที่ทำให้ความหมายเก่าที่มีความหมายโฉมหน้าใหม่
 
นักปรัชญาและชาวหลังนวยุคไม่เชื่อว่ามนุษย์เราสามารถรู้ความจริงวัตถุวิสัย และเชื่อว่าภาษาไม่สามารถสื่อความจริง ดังเช่นนวยุคภาพพยายามวิจารณ์และขจัดเรื่องปรัมปรา และเรื่องเล่าของศาสนาคริสต์ออกจากความรู้ยุคกลาง แต่ก็ทำไม่สำเร็จเพราะในที่สุดชาวนวยุคก็สร้างเรื่องปรัมปราใหม่ขึ้นมาแทน คือสร้างวิธีคิดด้วยระบบเหตุผลขึ้นมา และให้มีอำนาจแทนพระเจ้า ความรู้ที่นวยุคเสนอออกมาด้วยเหตุผลก็เป็นเพียงเรื่องเล่าอีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งเป็นเรื่องเล่าประเภทสร้างความเชื่อถือให้กับความรู้ด้วยอำนาจของเหตุผล
เส้น 48 ⟶ 40:
 
== อ้างอิง ==
# กีรติ บุญเจือ. (2546). ชุดปรัชญาและศาสนาเซนต์ เล่มห้า ย้อนอ่านปรัชญากังขาของมนุษยชาติ (ช่วงวิจารณ์ระบบเครือข่าย) ชุดปรัชญาและศาสนาเซนต์, พิมพ์ครั้งที่ 1, กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยเซนต์จอห์น, 2546.
# ----------- . ชุดปรัชญาและศาสนาเซนต์จอห์น เล่มหก (2546). ปรัชญาอรรถปริวรรตของมนุษยชาติ (ช่วงพหุนิยม) ชุดปรัชญาและศาสนาเซนต์, พิมพ์ครั้งที่ 1, กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยเซนต์จอห์น, 2546.
# เอนก สุวรรณบัณฑิต. (2558). เอกสารประกอบการสอนวิชาปรัชญาศึกษา. บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา.
 
[[หมวดหมู่:ปรัชญา]]