ผลต่างระหว่างรุ่นของ "ปรัชญายุคกลาง"

เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
Darrine (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
Darrine (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
บรรทัดที่ 18:
 
ในศาสนายูดาห์ นำปรัชญาไปใช้อธิบายศาสนา ดังนี้
# Avicebron (Solomon ibn Gabirol ค.ศ. 1022-1070) ใช้แนวคิด Neo-Platonism เสนอว่า all created being are constituted of form and matter และ มี physical world กับ spiritual world
 
 
บรรทัดที่ 29:
 
* อภิปรัชญาของเซนต์ ธามเมิส อไควเนิส (St. Thomas Aquinas ค.ศ. 1225-1274) ได้ศึกษาปรัชญาของแอร์เริสทาทเทิลและยืนยันว่าสามารถช่วยให้เข้าใจความเป็นจริงตามแนวทางศาสนาคริตส์ได้ ใช้ปรัชญาของ Aristotle ว่า God is the maker of heaven and earth, of all that is visible and invisible เน้นว่าความเป็นจริงทั้งหลายนั้นก็คือพระเจ้านั่นเอง พระเป็นเจ้าจึงเป็นกฎเกณฑ์แห่งความจริงทั้งหลาย และทรงเป็นแบบของความจริงทั้งหลาย
 
 
นักอภิปรัชญากระบวนทรรศน์ที่ 3 ช่วงหลังไม่ว่าจะนับถือศาสนาคริสต์ อิสลามหรือยูดาห์ ถือเป็นแนวคิดร่วมกันว่าเอาปรัชญาของแอร์เริสทาทเทิลเป็นหลัก แต่ไม่เห็นด้วยว่าความเป็นจริงในเอกภพเกิดจากการผสมของธาตุ 4 จึงแปลงให้เข้ากับความเชื่อเรื่องพระเจ้าเป็นผู้สร้างทุกสิ่งในเอกภพ ในการสร้างพระองค์ทรงมีแผนการสร้างอันมีระเบียบตามพระสัพพัญญู (Providence) สิ่งสร้างทั้งหลายแบ่งออกเป็น ๒ ระดับใหญ่ คือ ระดับสสารและระดับจิต โดยมีมนุษย์เป็นสะพานเชื่อมระหว่างสสารกับจิต สสารเป็นเนื้อเดียว แต่ต่างกันที่รูปแบบซึ่งเรียงลำดับชั้นตามแผนการสร้างของพระองค์คือ วัตถุ พืช สัตว์ มนุษย์และเหนือมนุษย์ขึ้นไปก็มีเทวดาซึ่งมีการลดหลั่นชั้นต่าง ๆ จากต่ำไปหาสูง
# Faith and reason complement rather than contradict each other, each giving different views of the same truth
# ปรัชญาจึงเริ่มจากความจริงไปยังพระเจ้า ส่วนในด้านเทววิทยาจะเริ่มจากพระเจ้าไปหาความจริง ระหว่างเหตุผลกับความเชื่อนั้น
เส้น 37 ⟶ 34:
# ความรู้จริง คือ ความรู้จากความคิดอย่างลึกซึ้ง ทั้งที่เป็นสากลและเฉพาะ รูปแบบทางปัญญาของท่านนั้นเรียกว่าบ่อเกิดความรู้
 
นักอภิปรัชญากระบวนทรรศน์ที่ 3 ช่วงหลังไม่ว่าจะนับถือศาสนาคริสต์ อิสลามหรือยูดาห์ ถือเป็นแนวคิดร่วมกันว่าเอาปรัชญาของแอร์เริสทาทเทิลเป็นหลัก แต่ไม่เห็นด้วยว่าความเป็นจริงในเอกภพเกิดจากการผสมของธาตุ 4 จึงแปลงให้เข้ากับความเชื่อเรื่องพระเจ้าเป็นผู้สร้างทุกสิ่งในเอกภพ ในการสร้างพระองค์ทรงมีแผนการสร้างอันมีระเบียบตามพระสัพพัญญู (Providence) สิ่งสร้างทั้งหลายแบ่งออกเป็น 2 ระดับใหญ่ คือ ระดับสสารและระดับจิต โดยมีมนุษย์เป็นสะพานเชื่อมระหว่างสสารกับจิต สสารเป็นเนื้อเดียว แต่ต่างกันที่รูปแบบซึ่งเรียงลำดับชั้นตามแผนการสร้างของพระองค์คือ วัตถุ พืช สัตว์ มนุษย์และเหนือมนุษย์ขึ้นไปก็มีเทวดาซึ่งมีการลดหลั่นชั้นต่าง ๆ จากต่ำไปหาสูง
 
ช่วงเปลี่ยนถ่ายความคิดทางปรัชญานี้มีการกระทบกระทั่งกันของนักปรัชญาทั้งสองฝ่าย ต่างฝ่ายต่างนำเสนอเพื่อให้ฝ่ายตนชนะว่าเป็นระบบเครือข่ายที่ตอบสนองต่อแนวทางปกครอง�โดยศาสนจักร เนื่องจากหลักค้ำประกันความเป็นจริงถูกเสริมความเข้มแข็งด้วยวิวรณ์ทางศาสนา
ใครคิดเห็นไม่ตรงกันจึงถูกกล่าวโทษ โดยมีการจัดตั้งศาลศาสนา (inquisition) ระหว่าง ค.ศ. 1231 - 1834 เพื่อไต่สวนลงโทษผู้ที่ถูกกล่าวหาว่ามีความคิดเห็นขัดแย้งกับคำสอนในศาสนาคริสต์
 
'''คำถามสำคัญแห่งยุค''' คือ การประนีประนอมปรัชญากับศาสนาทำได้อย่างไร
* ไม่มีการประนีประนอม ศาสนาประเสริฐกว่าปรัชญา อย่าเสียเวลาสนใจปรัชญา พึงเร่งบำเพ็ญกุศลอย่างเคร่งครัด
* ประนีประนอมด้วยลัทธิเพลโทว์ใหม่ (Neo-Platonism)
* ประนีประนอมด้วยลัทธิอย่างอริสโตเติล (Aristotelianism)
* เกิดแนวคิด Si Vis Pacem, Para Bellum
 
== อ้างอิง ==