ผลต่างระหว่างรุ่นของ "นิติปรัชญา"
เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
ไม่มีความย่อการแก้ไข |
ไม่มีความย่อการแก้ไข |
||
บรรทัดที่ 17:
- เพลโต สรุปว่า กฎหมายธรรมชาติเป็นความคิดหรือแบบอันไม่มีวันเปลี่ยนแปลงสำหรับใช้เป็นบรรทัดฐานต่อกฎหมายบ้านเมือง และมีเพียงราชาปราชญ์ผู้สามารถเข้าถึง “แบบ”
1.2 พวก Homo mensura เป็นพวกที่ไม่เชื่อว่ากฎหมายมีอยู่ในธรรมชาติ แต่มนุษย์เป็นผู้สร้างกฎหมายขึ้นมา
1.4 จักรวรรดิโรมัน ได้นำหลักกฎหมายธรรมชาติไปปรับใช้ในการพัฒนาระบบกฎหมายของโรมันให้มีความเหมาะสมเป็น ธรรม ▼
▲
ยุคมืด และช่วงแรกของยุคกลาง ศาสนจักรโรมันคาทอลิกก็เข้าครอบงำและพัฒนาเปลี่ยนแปลงปรัชญากฎหมายธรรมชาติให้สอดคล้ องกับหลักคำสอนของคริสต์ศาสนา (เน้นว่า กฎหมายที่ขัดต่อคำสอนของศาสนาไม่เป็นกฎหมาย)โดยนำแนวคิดเรื่องบาปโดยกำเนิด (Original Sin) เข้ามาแทนที่ “เหตุผล” ▼
▲2. ยุคมืด และช่วงแรกของยุคกลาง ยุคมืด และช่วงแรกของยุคกลาง ศาสนจักรโรมันคาทอลิกก็เข้าครอบงำและพัฒนาเปลี่ยนแปลงปรัชญากฎหมายธรรมชาติให้สอดคล้ องกับหลักคำสอนของคริสต์ศาสนา (เน้นว่า กฎหมายที่ขัดต่อคำสอนของศาสนาไม่เป็นกฎหมาย)โดยนำแนวคิดเรื่องบาปโดยกำเนิด (Original Sin) เข้ามาแทนที่ “เหตุผล” ช่วงที่สองของยุคกลาง เซนต์ โทมัส อไควนัส ยืนยันว่ากฎหมายธรรมชาติสูงกว่ากฎหมายที่รัฐบัญญัติขึ้น (เจตจำนงของพระเจ้าคือที่มาของกฎหมาย) และได้แบ่งกฎหมายออกเป็น 4 ประเภท คือ
1) กฎหมายนิรันดร์
เส้น 30 ⟶ 31:
3.) กฎหมายศักดิ์สิทธิ์
4.) กฎหมายของมนุษย์
3. ยุคฟื้นฟู และยุคปฏิรูป (เป็นยุคที่เกิดกฎหมายระหว่างประเทศ)
เป็นยุคที่ปรัชญากฎหมายธรรมชาติแยกออกจากการครอบงำของศาสนาคริสต์ มาสู่การวิเคราะห์เชิงวิทยาศาสตร์ ฮูโก โกรเชียส ได้นำหลักการของกฎหมายธรรมชาติบางเรื่องไปเป็นรากฐานในการบัญญัติกฎหมายระหว่างประเทศ จนได้รับยกย่องว่าเป็นบิดาของกฎหมายระหว่างประเทศ
4. ยุคชาติรัฐนิยม เป็นยุคที่กฎหมายธรรมชาติมีความเสื่อมลง เพราะ
เส้น 39 ⟶ 40:
1) กระแสสูงของลัทธิชาติรัฐนิยม (Nationalism)
2) ความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ และวิธีคิดเชิงประจักษ์วาทแบบแบบวิทยาศาสตร์ และภายใต้ความคิดทางแบบวิทยาศาสตร์นี้ก็ยังเป็นพื้นฐานให้เกิดลัทธิอรรถประโยชน์และทฤษฎีปฏิฐานนิยมทางกฎหมาย
5. ยุคปัจจุบัน (ยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 2) มีการฟื้นตัวของกฎหมายธรรมชาติ อันเนื่องจากองค์การสหประชาชาติ (UN) รณรงค์ให้เคารพในสิทธิมนุษยชน (Human Rights) ในยุคนี้ปรัชญากฎหมายธรรมชาติมีบทบาทอยู่ 2 ลักษณะ
เส้น 69 ⟶ 70:
จอห์น ฟินนีส อธิบายทฤษฎีกฎหมายธรรมชาติ ด้วยการหาคำตอบเกี่ยวกับลักษณะของชีวิตที่มีคุณค่า โดยเริ่มจากสมมติฐานหลัก 2 ประการ คือ
1) รูปแบบพื้นฐานแห่งความมั่งคั่งรุ่งเรืองของมนุษย์
2) สิ่งจำเป็นเชิงวิชาการพื้นฐานของความชอบด้วยเหตุผลเชิงปฏิบัติ
จุดอ่อน
- ความเป็นนามธรรมอย่างสูง ▼
- ไม่สามารถพิสูจน์ตรวจสอบความถูกต้องได้ด้วยวิธีการทาง▼
▲- ความเป็นนามธรรมอย่างสูง
▲- ไม่สามารถพิสูจน์ตรวจสอบความถูกต้องได้ด้วยวิธีการทาง
- ไม่ถูกต้องตามหลักตรรกะ
เส้น 114 ⟶ 119:
ดวอร์กิ้น วิจารณ์แนวคิดเรื่อง”ระบบแห่งกฎเกณฑ์” โดยเห็นว่า การถือว่ากฎหมายเป็นเพียงเรื่องระบบแห่งกฎเกณฑ์ตามความคิดของฮาร์ทนั้น เป็นข้อสรุปที่ไม่สมบูรณ์และคับแคบเกินไป เพราะจริง ๆ แล้ว “กฎเกณฑ์” ไม่ใช่เนื้อหาสาระเดียวในกฎหมาย การมองกฎหมายว่าเป็นเรื่องของกฎเกณฑ์เท่านั้นไม่เป็นสิ่งที่เพียงพอ กฎเกณฑ์เป็นเพียงส่วนหนึ่งของกฎหมายเท่านั้น แท้จริงแล้วยังมีเนื้อหาสาระสำคัญอื่น ๆ ซึ่งประกอบอยู่ภายในกฎหมาย ที่สำคัญคือเนื้อหาสาระที่เป็นเรื่องของ “หลักการ” ทางศีลธรรม หรือความเป็นธรรม
ดวอร์กิ้นถือว่า “หลักการ” เป็นมาตรฐานภายในกฎหมายซึ่งต้องเคารพรักษา ซึ่ง “หลักการ” ต่างกับ “กฎเกณฑ์” ตรงที่กฎเกณฑ์มีลักษณะใช้ได้ทั่วไปมากกว่า ขณะที่หลักการต้องเลือกปรับใช้ในบางคดี
ในเมื่อได้ทำสัญญาโดยตกลงว่าความรับผิดของบริษัทผู้ผลิตจำกัดเพียงการซ่อมแซมส่วนที่ บกพร่องให้ดีเท่านั้น ต่อมาเมื่อได้เกิดความเสียหายขึ้น ผู้ซื้อโต้แย้งว่า บริษัทไม่ควรได้รับการคุ้มครองโดยข้อจำกัดของสัญญาดังกล่าว โดยควรต้องรับผิดชอบต่อค่ารักษาพยาบาลและค่าใช้จ่ายอื่น ๆ เนื่องจากการชนกันของรถซึ่งเป็นผลจากความบกพร่องของรถยนต์ คดีนี้ ผู้ซื้อไม่สามารถอ้างกฎหมายหรือหลักนิติธรรมที่หนักแน่นใด ๆ ซึ่งห้ามบริษัทผู้ผลิตไม่ให้ทำข้อตกลงในลักษณะดังกล่าว ศาลเห็นพ้องกับคำร้องขอของผู้ซื้อ โดยให้เหตุผลว่า แม้หลักเรื่องเสรีภาพในการทำสัญญาจะเป็นหลักการสำคัญในกฎหมาย แต่ก็หาใช่ว่า จะเป็นสิ่งที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงแก้ไขได้ บริษัทผู้ผลิตต้องมีภาระเป็นพิเศษในเรื่องการสร้าง การโฆษณาและการขายรถยนต์ของตน ศาลไม่ยอมปล่อยให้อยู่ใต้บังคับของข้อตกลงต่อรองซึ่งคู่กรณีฝ่ายหนึ่งได้ฉก ฉวยผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจอย่างไม่เป็นธรรมจากอีกฝ่ายหนึ่ง (ในเรื่องคดีนี้ อาจยกตัวอย่างคดีอื่นๆ ได้)
ดวอร์กิ้นเห็นว่า มาตรฐานที่ศาลใช้เป็นเหตุผลของคำพิพากษามิใช่สิ่งที่เราเข้าใจว่าเป็นกฎเกณฑ์ทางกฎหมาย แต่คือหลักการทางกฎหมาย ในการมองธรรมชาติของกฎหมายว่ามิใช่เป็นเรื่องของกฎเกณฑ์หรือระบบแห่งกฎหมายเท่านั้น แต่ยังมีสาระของเรื่องหลักการประกอบอยู่ด้วย ความเชื่อตรงนี้ทำ ให้ดวอร์กิ้นวิพากษ์วิจารณ์ฮาร์ทอย่างมากในเรื่องการใช้ดุลพินิจของผู้พิพากษานอกเหน ือกฎหมาย ในการตัดสินคดีที่ยุ่งยาก ซับซ้อน ในลักษณะคล้ายเป็นการตรากฎหมายขึ้นใหม่ ซึ่งฮาร์ทถือว่าทำได้ แต่ดวอร์กิ้นไม่ยอมรับดุลพินิจเช่นนี้ โดยเชื่อว่าผู้พิพากษาสามารถค้นหาคำตอบได้จากหลักการภายในกฎหมายมิใช่ใช้ดุลพินิจบัญญัติกฎหมายขึ้นมาเอง▼
▲
3. กฎหมายประวัติศาสตร์คืออะไร มีหลักการสำคัญ 3 ประการอย่างไรบ้าง
เส้น 139 ⟶ 146:
ทฤษฎีนิติศาสตร์เชิงสังคมวิทยา เป็นทฤษฎีทางกฎหมายที่ก่อตัวขึ้นในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 ซึ่งเป็นช่วงที่สังคมตะวันตกอยู่ในภาวะของการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคม จากสังคมประเพณีที่ไม่ซับซ้อนสู่สังคมอุตสาหกรรม (Industrial Society)
มีกลุ่มแนวคิดทฤษฎี 2 กลุ่ม คือ
1. กลุ่มที่มีแนวความคิดค่อนมาทางปีกขวา หรืออนุรักษ์เสรีนิยม เยียริ่ง
- ต้นกำเนิดของกฎหมายวางอยู่ที่เงื่อนไขทางสังคมวิทยา▼
- รากฐานอันแท้จริงของ เรื่อง “สิทธิ"” อยู่ที่ “ผลประโยชน์▼
- ต้นเหตุสำคัญของกฎหมายอยู่ที่การเป็นเครื่องมือเพื่อสนองตอบความต้องการของสังคม - - ▼
- วัตถุประสงค์ของกฎหมายอยู่ที่การปกป้องหรือขยายการปกป้องผลประโยชน์ของสังคม ▼
▲- ต้นกำเนิดของกฎหมายวางอยู่ที่เงื่อนไขทางสังคมวิทยา
ดิวกี้ เป็นผู้นำเสนอทฤษฎีความสมานฉันท์ของสังคม (Social Solidarism) ซึ่งเน้นเรื่องประโยชน์ของสังคม เน้นเรื่องการกระจายอำนาจของรัฐ ปฏิเสธการแยกกฎหมายเอกชนกับกฎหมายมหาชน ปฏิเสธการดำรงอยู่เรื่องสิทธิส่วนตัว ▼
▲- รากฐานอันแท้จริงของ เรื่อง “สิทธิ"” อยู่ที่ “ผลประโยชน์
กฎหมายเป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับคานประโยชน์ต่าง ๆ ในสังคมเพื่อให้เกิดความสมดุล ซึ่งวิธีการคานประโยชน์ต่าง ๆ นั้น ก็ด้วยการสร้างกลไกในการคานอำนาจผลประโยชน์ เสมือนการก่อสร้างหรือวิศวกรรมสังคม จึงเรียกว่า ทฤษฎีวิศวกรรมสังคม (Social Engineering Theory) ▼
▲- วัตถุประสงค์ของกฎหมายอยู่ที่การปกป้องหรือขยายการปกป้องผลประโยชน์ของสังคม
▲2. กลุ่มที่มีแนวความคิดค่อนมาทางทางปีกซ้าย หรือโอนเอียงใกล้กับความคิดแบบสังคมนิยม ดิวกี้ เป็นผู้นำเสนอทฤษฎีความสมานฉันท์ของสังคม (Social Solidarism) ซึ่งเน้นเรื่องประโยชน์ของสังคม เน้นเรื่องการกระจายอำนาจของรัฐ ปฏิเสธการแยกกฎหมายเอกชนกับกฎหมายมหาชน ปฏิเสธการดำรงอยู่เรื่องสิทธิส่วนตัว แกนกลางของกฎหมายอยู่ที่เรื่องหน้าที่ ซึ่งเป็นเครื่องมือที่จะประกันว่าแต่ละคนได้ดำเนินบทบาทของตนในการส่งเสริมความสมานฉ ันท์ในสังคม
▲รอสโค พาวนด์ เป็นผู้พัฒนาทฤษฎีนิติศาสตร์เชิงสังคมวิทยาให้มีรายละเอียดในเชิงปฏิบัติ เน้นการศึกษาหรือการแก้ไขปัญหาเชิงปฎิบัติ กฎหมายเป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับคานประโยชน์ต่าง ๆ ในสังคมเพื่อให้เกิดความสมดุล ซึ่งวิธีการคานประโยชน์ต่าง ๆ นั้น ก็ด้วยการสร้างกลไกในการคานอำนาจผลประโยชน์ เสมือนการก่อสร้างหรือวิศวกรรมสังคม จึงเรียกว่า ทฤษฎีวิศวกรรมสังคม (Social Engineering Theory)
แบ่งอธิบายทฤษฎีของเขาเป็น 3 หัวข้อ ได้แก่
1. ความหมายของผลประโยชน์ ผลประโยชน์ คือ “ข้อเรียกร้อง ความต้องการ หรือความปรารถนาที่มนุษย์ต่างยืนยันเพื่อให้ได้มาอย่างแท้จริง และเป็นภารกิจที่กฎหมายต้องกระทำการอันใดอันหนึ่ง เพื่อสิ่งเหล่านั้นหากต้องการธำรงไว้ซึ่งสังคมอันเป็นระเบียบเรียบร้อย” ผลประโยชน์ดังกล่าวนี้ เป็นสิ่งที่กฎหมายมีหน้าที่ต้องตอบสนอง
2. ประเภทของผลประโยชน์ รอสโค พาวนด์ แบ่งผลประโยชน์ออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่
1. ผลประโยชน์ของปัจเจกชน คือ ข้อเรียกร้อง ความต้องการ ความปรารถนา และความคาดหมายในการดำรงชีวิตของปัจเจกชน ซึ่งเกี่ยวข้องกับ
เส้น 184 ⟶ 192:
5.ต้องสนับสนุนให้มีการตัดสินคดีบุคคลอย่างมีเหตุผลและยุติธรรม ซึ่งมักอ้างเรื่องความแน่นอนขึ้นแทนที่มากเกินไป
6.ต้องพยายามทำให้การบรรลุจุดมุ่งหมายของกฎหมายมีผลมากขึ้น
5. ความคิดมาร์กซิสต์วิจารณ์บทบาทของกฎหมายว่าอย่างไร ทฤษฎีกฎหมายของมาร์กซิสต์ (The Marxist Theory of Law) เป็นทฤษฎีที่วางอยู่บนพื้นฐานของแนวคิดแบบนิยัตินิยมทางเศรษฐกิจ (Economic Determinism) ซึ่งเป็นแนวความคิดที่ถือว่า เศรษฐกิจเป็นตัวกระทำฝ่ายเดียว หรือเป็นเหตุปัจจัยเดียวที่กำหนดความเป็นไปต่างๆ ในสังคม ทฤษฎีนี้เกิดขึ้นอย่างไม่เป็นระบบ
เส้น 193 ⟶ 201:
1. กฎหมายเป็นผลผลิตหรือผลสะท้อนของโครงสร้างทางเศรษฐกิจหรือเงื่อนไขทางเศรษฐกิจ
2. กฎหมายเป็นเสมือนเครื่องมือหรืออาวุธของชนชั้นปกครองที่สร้างขึ้นเพื่อปกป้องอำนาจของตน กฎหมายเป็นเครื่องมือกดขี่ประชาชนของชนชั้นปกครอง
3. สังคมคอมมิวนิสต์ที่สมบูรณ์ไม่ต้องมีกฎหมาย กฎหมายในฐานะที่เป็นเครื่องมือของการควบคุมสังคมจะเหือดหาย (Writering Away) และสูญสิ้นไปในที่สุด
6. หลักนิติธรรมและดื้อแพ่งคืออะไร มีหลักการสำคัญอย่างไร
|