ผลต่างระหว่างรุ่นของ "นิติปรัชญา"
เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
สร้างหน้าด้วย "นิติปรัชญา 1. กฎหมายธรรมชาติคืออะไร มีพัฒนาการอย่าง..." |
ไม่มีความย่อการแก้ไข |
||
บรรทัดที่ 9:
== พัฒนการของกฎหมาย ==
1. ยุคกรีกโบราณและโรมัน
- โซโฟครีส เขียนหนังสือชื่อ แอนโทโกนี เป็นละครโศกนาฏกรรม(เรื่องการทำศพพี่ชาย)ที่บรรจุหลักการสำคัญในการแยกกฎหมายอันแท้จ ริงออกจากโครงสร้าง, อำนาจรัฐ และยืนยันความเป็นโมฆะของกฎหมายแผ่นดินที่ขัดหรือแย้งกับกฎหมายธรรมชาติหรือความยุติ ธรรม เนื่องจากโซโฟครีส เชื่อหลักความเป็นธรรมตามธรรมชาติ▼
- เพลโต สรุปว่า กฎหมายธรรมชาติเป็นความคิดหรือแบบอันไม่มีวันเปลี่ยนแปลงสำหรับใช้เป็นบรรทัดฐานต่อกฎหมายบ้านเมือง และมีเพียงราชาปราชญ์ผู้สามารถเข้าถึง “แบบ” ▼
▲
1.2 พวก Homo mensura เป็นพวกที่ไม่เชื่อว่ากฎหมายมีอยู่ในธรรมชาติ แต่มนุษย์เป็นผู้สร้างกฎหมายขึ้นมา ▼
▲
▲
1.3 สำนักสโตอิค มีแนวความคิดพื้นฐานว่า ในจักรวาลประกอบด้วย “เหตุผล” ซึ่งเป็นเสมือนกฎเกณฑ์ธรรมชาติที่มีลักษณะแน่นอน มนุษย์ซึ่งถูกกำหนดควบคุมโดย “เหตุผล”
1.4 จักรวรรดิโรมัน ได้นำหลักกฎหมายธรรมชาติไปปรับใช้ในการพัฒนาระบบกฎหมายของโรมันให้มีความเหมาะสมเป็น ธรรม
2. ยุคมืด และช่วงแรกของยุคกลาง
ยุคมืด และช่วงแรกของยุคกลาง ศาสนจักรโรมันคาทอลิกก็เข้าครอบงำและพัฒนาเปลี่ยนแปลงปรัชญากฎหมายธรรมชาติให้สอดคล้ องกับหลักคำสอนของคริสต์ศาสนา (เน้นว่า กฎหมายที่ขัดต่อคำสอนของศาสนาไม่เป็นกฎหมาย)โดยนำแนวคิดเรื่องบาปโดยกำเนิด (Original Sin) เข้ามาแทนที่ “เหตุผล”
ช่วงที่สองของยุคกลาง เซนต์ โทมัส อไควนัส ยืนยันว่ากฎหมายธรรมชาติสูงกว่ากฎหมายที่รัฐบัญญัติขึ้น (เจตจำนงของพระเจ้าคือที่มาของกฎหมาย) และได้แบ่งกฎหมายออกเป็น 4 ประเภท คือ
1) กฎหมายนิรันดร์ ▼
3.) กฎหมายศักดิ์สิทธิ์ ▼
4.) กฎหมายของมนุษย์ ▼
3. ยุคฟื้นฟู และยุคปฏิรูป (เป็นยุคที่เกิดกฎหมายระหว่างประเทศ)
เป็นยุคที่ปรัชญากฎหมายธรรมชาติแยกออกจากการครอบงำของศาสนาคริสต์ มาสู่การวิเคราะห์เชิงวิทยาศาสตร์ ฮูโก โกรเชียส ได้นำหลักการของกฎหมายธรรมชาติบางเรื่องไปเป็นรากฐานในการบัญญัติกฎหมายระหว่างประเทศ จนได้รับยกย่องว่าเป็นบิดาของกฎหมายระหว่างประเทศ
4. ยุคชาติรัฐนิยม เป็นยุคที่กฎหมายธรรมชาติมีความเสื่อมลง เพราะ
1) กระแสสูงของลัทธิชาติรัฐนิยม (Nationalism) ▼
2) ความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ และวิธีคิดเชิงประจักษ์วาทแบบแบบวิทยาศาสตร์ และภายใต้ความคิดทางแบบวิทยาศาสตร์นี้ก็ยังเป็นพื้นฐานให้เกิดลัทธิอรรถประโยชน์และทฤษฎีปฏิฐานนิยมทางกฎหมาย ▼
มีการฟื้นตัวของกฎหมายธรรมชาติ อันเนื่องจากองค์การสหประชาชาติ (UN) รณรงค์ให้เคารพในสิทธิมนุษยชน (Human Rights) ในยุคนี้ปรัชญากฎหมายธรรมชาติมีบทบาทอยู่ 2 ลักษณะ ▼
1) ในแง่สนับสนุนอุดมคตินิยมทางกฎหมายเชิงจริยธรรม ▼
2) เป็นทฤษฎีเกี่ยวกับสิทธิซึ่งสนับสนุนเรื่องสิทธิมนุษยชน ▼
▲
ในยุคนี้ทำให้เกิดกฎหมายธรรมชาติร่วมสมัย ▼
- ฟูลเลอร์ เชื่อมั่นในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างกฎหมายกับศีลธรรม เน้นความสำคัญของเรื่อง “วัตถุประสงค์” ซึ่งประกาศว่า กฎหมายจำต้องบรรจุด้วยหลักเกณฑ์ทางศีลธรรม หรือที่เขาเรียกว่า “The Inner Morality of Law” โดยต้องปฎิบัติตามเงื่อนไขสำคัญ 8 ประการ▼
▲5. ยุคปัจจุบัน (ยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 2) มีการฟื้นตัวของกฎหมายธรรมชาติ อันเนื่องจากองค์การสหประชาชาติ (UN) รณรงค์ให้เคารพในสิทธิมนุษยชน (Human Rights) ในยุคนี้ปรัชญากฎหมายธรรมชาติมีบทบาทอยู่ 2 ลักษณะ
1) กฎหมายต้องมีลักษณะทั่วไป▼
2) ต้องถูกตีพิมพ์เผยแพร่ให้ปรากฏแก่สาธารณะ ▼
▲5.1) ในแง่สนับสนุนอุดมคตินิยมทางกฎหมายเชิงจริยธรรม
3) ต้องไม่มีผลย้อนหลัง ▼
4) ต้องมีลักษณะชัดแจ้ง และสามารถเป็นที่เข้าใจได้ ▼
▲5.2) เป็นทฤษฎีเกี่ยวกับสิทธิซึ่งสนับสนุนเรื่องสิทธิมนุษยชน
5) ต้องไม่มีความขัดแย้งกัน ▼
6) ต้องไม่เป็นการกำหนดบังคับในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ▼
▲ในยุคนี้ทำให้เกิดกฎหมายธรรมชาติร่วมสมัย
7) ต้องมีความมั่นคง แน่นอน▼
8) ต้องมีความกลมกลืน ▼
▲
- จอห์น ฟินนีส อธิบายทฤษฎีกฎหมายธรรมชาติ ด้วยการหาคำตอบเกี่ยวกับลักษณะของชีวิตที่มีคุณค่า โดยเริ่มจากสมมติฐานหลัก 2 ประการ คือ ▼
▲
1) รูปแบบพื้นฐานแห่งความมั่งคั่งรุ่งเรืองของมนุษย์
2) สิ่งจำเป็นเชิงวิชาการพื้นฐานของความชอบด้วยเหตุผลเชิงปฏิบัติ
เส้น 59 ⟶ 79:
ทฤษฎีปฎิฐานนิยมทางกฎหมาย หรือ“กฎหมายบ้านเมือง” (กฎหมายต้องเป็นกฎหมาย) มีแนวคิดหลักว่ากฎหมายคือเจตจำนงหรือคำสั่งของรัฏฐาธิปัตย์, ความสมบูรณ์ของกฎหมายอยู่ที่สภาพบังคับที่เด็ดขาด, กฎหมายนั้นไม่จำต้องผูกติดสัมพันธ์กับความยุติธรรมหรือหลักจริยธรรมใด ๆ จึงทำให้ทฤษฎีปฏิฐานนิยมทางกฎหมาย เป็นแนวคิดที่สวนทางกลับทฤษฎีกฎหมายธรรมชาติ
ทรรศนะพื้นฐานสำคัญ
1) ข้อเท็จจริงหรือสิ่งที่เป็นอยู่จริง (Is) หาใช่เป็นสิ่งเดียวหรือสัมพันธ์กับหลักคุณค่าบรรทัดฐานหรือสิ่งที่ควรจะเป็น (Ought) ไม่
2) กฎหมายเป็นผลผลิตหรือเป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นโดยอำนาจปกครองในสังคม
แนวคิดพื้นฐานของทฤษฎีปฏิฐานนิยมทางกฎหมาย แบ่งออกเป็น 3 ประการ คือ
1. กฎหมายไม่เกี่ยวข้องกับศีลธรรม
2. กฎหมายมาจากรัฎฐาธิปัตย์
3. กฎหมายเป็นสิ่งที่มีสภาพบังคับหรือมีบทลงโทษ
พัฒนาการทางทฤษฎีนี้เป็นผลทำให้การแยกทฤษฎีออกเป็นสองแบบฉบับ (Version) คือ
1. แบบฉบับดั้งเดิม ในคริสต์ศตวรรษที่ 19
- ออสติน (Austin) ทฤษฎีคำสั่งแห่งกฎหมาย ซึ่งเรียกกันในภายหลังว่า “นิติศาสตร์เชิงวิเคราะห์” ซึ่งจะเน้นที่ลักษณะภายนอกของสภาพบังคับกฎหมาย หรือเน้นที่ตัวบุคคลผู้มีอำนาจออกกฎหมาย▼
▲
2. แบบฉบับซึ่งได้รับการพัฒนาแก้ไขปรับปรุง ในคริสต์ศตวรรษที่ 20
- ฮาร์ท (จะเน้นประสิทธิภาพของกฎหมาย) ถือว่า ระบบกฎหมายนั้นเป็นระบบแห่งกฎเกณฑ์ทางสังคมรูปแบบหนึ่ง “โดยพื้นฐานแท้จริงแล้ว การยึดมั่นของปฎิฐานนิยมทางกฎหมายในบทสรุปของแนวคิดเรื่องการแยกกฎหมายออกจากศีลธรรม นั้น ในตัวของมันวางอยู่บนเหตุผลทางศีลธรรม” และได้แบ่งกฎเกณฑ์ของ “ระบบกฎหมาย” ออกเป็น 2 ประเภท คือ กฎปฐมภูมิและกฎทุติยภูมิ ในทรรศนะของฮาร์ท ถือว่าเป็นกฎหลักสองประการที่เน้นประสิทธิภาพของกฎหมาย ทำให้กฎเกณฑ์ทางกฎหมายมีความสมบูรณ์
2) กฎทุติยภูมิ (วิธีสบัญญัติ) หมายถึง กฎเกณฑ์พิเศษที่สร้างขึ้นมาเสริมความสมบูรณ์ของกฎปฐมภูมิ เพื่อให้มีประสิทธิภาพในการบังคับใช้มากยิ่งขึ้น
โดยองค์ประกอบของกฎทุติยภูมิออกเป็น 3 กฎย่อย คือ
1) กฎที่กำหนดเกณฑ์การรับรองความเป็นกฎหมายที่สมบูรณ์
2) กฎที่กำหนดเกณฑ์การบัญญัติและแก้ไขเปลี่ยนแปลง
3) กฎที่กำหนดเกณฑ์การวินิจฉัยชี้ขาดตัดสิน ข้อวิจารณ์ของ ฟูลเลอร์ (Fuller) ที่มีต่อระบบกฎเกณฑ์ของฮาร์ท ฟูลเลอร์ เป็นนักทฤษฎีฝ่ายกฎหมายธรรมชาติ - ยอมรับข้อเสนอของฮาร์ทที่ว่า “กฎหมายคือระบบของกฎเกณฑ์” - แต่ก็ยังยืนยันความสำคัญของเรื่องวัตถุประสงค์ภายในตัวกฎหมาย
ฟูลเลอร์ ไม่เห็นด้วยอย่างมากกับการที่ฮาร์ทสรุปว่า กฎหมายเป็นเรื่องของกฎเกณฑ์ล้วน ๆ และไม่จำต้องเกี่ยวข้องกับหลักศีลธรรมหรือหลักคุณค่านามธรรมเสมอไป กล่าวคือ ฟูลเลอร์เห็นว่า “กฎหมายนั้นต้องสนองตอบความจำเป็นหรือวัตถุประสงค์ทางศีลธรรม กฎหมายและศีลธรรมจึงเป็นสิ่งที่ไม่อาจแยกออกจากกันได้ กฎหมายจะต้องมีสิ่งที่อาจเรียกว่า “ศีลธรรมภายในกฎหมาย” บรรจุอยู่เสมอ” และ ไม่เห็นด้วยกับฮาร์ทที่แยกกฎปฐมภูมิซึ่งเป็นกฎที่เกี่ยวข้องกับการกำหนดพันธะหน้าที่ และกฎทุติยภูมิซึ่งเป็นกฎเกี่ยวกับการให้อำนาจด้านกฎหมาย ออกจากกันโดยเด็ดขาด เพราะในบางสถานการณ์กฎอันเดียวกันอาจให้ทั้งอำนาจและกำหนดหน้าที่ ไม่จำกัดบทบาทเพียงอย่างหนึ่งอย่างใด หากแต่ต้องแปรผันไปตามสภาพแวดล้อม
ข้อวิจารณ์ของ ดวอร์กิ้น (Dworkin) ที่มีต่อระบบกฎเกณฑ์ของฮาร์ท
|