ผลต่างระหว่างรุ่นของ "กฎหมายการค้าระหว่างประเทศ/ภาคที่ 2/บทที่ 1/ส่วนที่ 1"
เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
Tiemianwusi (คุย | ส่วนร่วม) ไม่มีความย่อการแก้ไข |
Tiemianwusi (คุย | ส่วนร่วม) ไม่มีความย่อการแก้ไข |
||
บรรทัดที่ 3:
| พื้น = #a3bb6d
| ชื่อเรื่อง = [[กฎหมายการค้าระหว่างประเทศ|{{cl|#d7efa8|กฎหมายการค้าระหว่างประเทศ}}]]
| ชื่อเรื่องย่อย = {{cl|#685d33|
| ก่อนหน้า = [[กฎหมายการค้าระหว่างประเทศ/ภาคที่ 2/บทที่ 1|ภาคที่ 2 • บทที่ 1]] <br> [[กฎหมายการค้าระหว่างประเทศ/ภาคที่ 2/บทที่ 1|หลักเกณฑ์ตาม
| ถัดไป = [[กฎหมายการค้าระหว่างประเทศ/ภาคที่ 2/บทที่ 1/ส่วนที่ 2|ภาคที่ 2 • บทที่ 1 • ส่วนที่ 2]] <br> [[กฎหมายการค้าระหว่างประเทศ/ภาคที่ 2/บทที่ 1/ส่วนที่ 2|การก่อสัญญาซื้อขายตาม
| หมายเหตุ =
}}
บรรทัดที่ 18:
{{c|{{fs|120%|'''2.1'''}}}}
{{c|{{fs|120%|'''หลักเกณฑ์ตาม
{{c|'''2.1.1
{{สารบัญขวา}}
== ความเป็นมาของ
===
{{qb
บรรทัดที่ 68:
2. {{g|0.5em}} อนุสัญญาเกี่ยวกับกฎหมายเอกรูปว่าด้วยการก่อสัญญาซื้อขายระหว่างประเทศ (Convention relating to a Uniform Law on the Formation of Contracts for the International Sale of Goods) หรือเรียกโดยย่อว่า "ซีอัลฟ์" (C-ULF) {{ref label|reference_name_ฃ|ฃ|ฃ}}
อนุสัญญาทั้งสองฉบับนี้มีชื่อเรียกโดยทั่วไปว่า '''
===
{{qb
บรรทัดที่ 77:
{{c|{{fs|90%|{{sc|UN General Assembly}}}}}}
<center>[http://www.jus.uio.no/lm/uncitral.2205-xxi/doc.html {{fs|85%|Resolution 2205 (XXI) of 17 December 1966}}]</center>
{{fs|85%|2. {{g|0.3em}} รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับการยกร่าง
{{c|{{fs|90%|{{sc|Peter Schlechtriem}}}} {{fs|85%| (1986):}}}}
<center>[http://www.cisg.law.pace.edu/cisg/biblio/schlechtriem.html {{fs|85%|''Uniform Sales Law - The UN-Convention on Contracts for the International Sale of Goods''}}]</center>
{{fs|85%|3. {{g|0.3em}} สถานะและรายชื่อรัฐภาคี
{{c|{{fs|90%|{{sc|Uncitral}}}} {{fs|85%| (2013):}}}}
<center>[http://www.uncitral.org/uncitral/en/uncitral_texts/sale_goods/1980CISG_status.html {{fs|85%|''Status: 1980 - United Nations Convention on Contracts for the International Sale of Goods''}}]</center>
บรรทัดที่ 100:
}}
เพราะจำเป็นต้องมีกฎเกณฑ์ที่เป็นระเบียบเดียวกันสำหรับควบคุมการซื้อขายระหว่างประเทศ เมื่อ
อันซิทร็อลแต่งตั้งคณะทำงาน (Working Group) ขึ้นคณะหนึ่งเพื่อร่างกฎหมายระหว่างประเทศเกี่ยวกับการซื้อขายขึ้นจนสำเร็จเป็น "ร่างอนุสัญญาว่าด้วยการซื้อขาย" (Draft Convention on Sales) เมื่อเดือนมกราคม พ.ศ. 2519 (ค.ศ. 1976)<ref name = "psch"/> ต่อมา ในการประชุมอันซิทร็อลครั้งที่สิบ ณ กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย ระหว่างเดือนพฤษภาคมและมิถุนายน พ.ศ. 2520 (ค.ศ. 1977) โดยที่ประชุมได้ตกลงรับร่างอนุสัญญาดังกล่าว คณะทำงานชุดนั้นจึงกลับไปปรับปรุงร่างอนุสัญญาเพิ่ม แล้วนำเข้าสู่การพิจารณาของที่ประชุมอันซิทร็อลในการประชุมครั้งที่สิบเอ็ด ณ นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา พ.ศ. 2521 (ค.ศ. 1978)<ref name = "psch"/> จากนั้น เลขาธิการสหประชาชาติจึงแจกจ่ายร่างฉบับหลังให้แก่รัฐบาลของประเทศสมาชิกสหประชาชาติเพื่อรับฟังความคิดเห็น<ref name = "psch"/>
บรรทัดที่ 108:
อนุสัญญาดังกล่าวมีชื่ออย่างเป็นทางการว่า '''อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยสัญญาซื้อขายระหว่างประเทศ'''{{ref label|reference_name_ฆ|ฆ|ฆ}} (United Nations Convention on Contracts for the International Sale of Goods) หรือเรียกโดยย่อว่า '''ซีไอเอสจี''' (CISG) แต่มักเรียกกันว่า '''อนุสัญญากรุงเวียนนา''' (Vienna Convention) เนื่องจากตกลงรับกันที่กรุงเวียนนา{{ref label|reference_name_ง|ง|ง}}
== การใช้อนุสัญญาบังคับ ==
แน่นอนอยู่แล้วว่า
แต่ในอันที่จะนำอนุสัญญามาใช้นั้น มีข้อต้องพิจารณาอยู่สามประการ คือ เรื่องสถานประกอบธุรกิจของคู่สัญญา เรื่องความตกลงของคู่สัญญา และเรื่องลักษณะของสัญญา ถ้าเข้าหลักเกณฑ์ข้อหนึ่งข้อใดแล้วก็อาจนำอนุสัญญามาใช้บังคับได้หรือมิได้ แล้วแต่กรณี
บรรทัดที่ 131:
{{g}} (3) {{g|0.3em}} ในการวินิจฉัยว่าจะใช้อนุสัญญานี้บังคับหรือไม่นั้น ห้ามมิให้คำนึงถึงสัญชาติของคู่สัญญา และลักษณะทางแพ่งหรือพาณิชย์ของคู่สัญญาหรือของตัวสัญญา
|-
| style = "text-align: right;" | '''
|-
| style = "text-align: left;" | {{g}} เพื่อประโยชน์แห่งอนุสัญญานี้
บรรทัดที่ 139:
{{g}} (2) {{g|0.3em}} ถ้าคู่สัญญาไม่มีสถานประกอบธุรกิจ ก็ให้อ้างถึงถิ่นที่เขาอยู่เป็นหลักแหล่งแทน
|-
| style = "text-align: right;" | '''
|-
| style = "text-align: left;" | {{g}} ปัญหาว่า จะพึงใช้กฎหมายใดบังคับสำหรับสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญหรือผลแห่งสัญญานั้น ให้วินิจฉัยตามเจตนาของคู่กรณี ในกรณีที่ไม่อาจหยั่งทราบเจตนาชัดแจ้งหรือโดยปริยายได้ ถ้าคู่สัญญามีสัญชาติอันเดียวกัน กฎหมายที่จะใช้บังคับ ก็ได้แก่ กฎหมายสัญชาติอันร่วมกันแห่งคู่สัญญา ถ้าคู่สัญญาไม่มีสัญชาติอันเดียวกัน ก็ให้ใช้กฎหมายแห่งถิ่นที่สัญญานั้นได้ทำขึ้น
บรรทัดที่ 151:
|}
หลักเกณฑ์แรกสุดในการนำ
1. {{g|0.5em}}
2.{{g|0.5em}}
เช่น วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2556 พจมาร สว่างพวง ซึ่งเปิดร้านขายอุปกรณ์คมนาคมอยู่ ณ บ้านทรายดอง กรุงเทพมหานคร ทำสัญญาซื้อขายดาวเทียมเทยคมกับคุณชายกางซึ่งอยู่ตั้งบริษัทอยู่ที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ขณะนั้น ประเทศไทยยังไม่เป็นรัฐผู้ทำ
แต่ปรากฏว่า พจมารถือสัญชาติเกาหลีใต้ คุณชายกางก็ถือสัญชาติเกาหลีใต้ และประเทศเกาหลีใต้เป็นรัฐผู้ทำ
เรื่องคู่สัญญามีสถานประกอบธุรกิจอยู่ต่างรัฐกันนี้ คู่สัญญาต้องรู้หรือควรรู้กันอยู่แล้วตั้งแต่ก่อนทำสัญญาหรือในเวลาที่ทำสัญญา โดยอาจรู้ได้จากตัวสัญญาเองก็ดี จากธรรมเนียมการค้า (dealing) ระหว่างคู่สัญญาด้วยกันเองก็ดี หรือจากข้อมูลข่าวสาร (information) ซึ่งคู่สัญญาเปิดเผยต่อกันก็ดี ตามความใน
ถ้าคู่สัญญามีสถานประกอบธุรกิจหลายแห่ง
แต่ถ้าคู่สัญญาไม่มีสถานประกอบธุรกิจเลย
=== ความตกลงของคู่สัญญา ===
บรรทัดที่ 172:
| style = "text-align: left;" | {{g}} คู่สัญญาจะห้ามนำอนุสัญญานี้มาใช้บังคับก็ได้ หรือจะงดใช้หรือกำหนดให้แตกต่างออกไปซึ่งผลของข้อบทใด ๆ แห่งอนุสัญญานี้โดยอยู่ภายใต้บังคับแห่งข้อ 12 ก็ได้
|-
| style = "text-align: right;" | '''
|-
| style = "text-align: left;" | {{g}} ความใด ๆ ในข้อ 11 ข้อ 29 หรือภาค 2 แห่งอนุสัญญานี้ ที่ยอมให้ทำสัญญาซื้อขาย หรือให้ตกลงแก้ไขเพิ่มเติมหรือยกเลิกสัญญานั้น หรือให้เสนอ สนอง หรือแสดงเจตนาอย่างอื่นในรูปแบบใด ๆ นอกเหนือไปจากการทำเป็นหนังสือได้นั้น ย่อมไม่ใช้บังคับถึงกรณีที่คู่สัญญามีสถานประกอบธุรกิจอยู่ในรัฐผู้ทำอนุสัญญานี้และได้ให้คำแถลงไว้ตามข้อ 96 แห่งอนุสัญญานี้แล้ว ห้ามมิให้คู่สัญญางดใช้หรือกำหนดให้แตกต่างออกไปซึ่งผลดังกล่าวหรือข้อบทข้อนี้
|-
| style = "text-align: right;" | '''
|-
| style = "text-align: left;" | {{g}} รัฐผู้ทำอนุสัญญานี้ซึ่งกฎหมายของตนกำหนดให้สัญญาซื้อขายต้องทำหรือมีหลักฐานเป็นหนังสือ จะทำคำแถลงตามข้อ 12 ณ เวลาใดก็ได้ว่า ความใด ๆ ในข้อ 11 ข้อ 29 หรือภาค 2 แห่งอนุสัญญานี้ ที่ยอมให้ทำสัญญาซื้อขาย หรือให้ตกลงแก้ไขเพิ่มเติมหรือยกเลิกสัญญานั้น หรือให้เสนอ สนอง หรือแสดงเจตนาอย่างอื่นในรูปแบบใด ๆ นอกเหนือไปจากการทำเป็นหนังสือได้นั้น มิให้นำมาใช้บังคับแก่คู่สัญญาซึ่งมีสถานประกอบธุรกิจอยู่ในรัฐตน
|-
| style = "text-align: right;" | '''
|-
|}
กระนั้น
แต่อนุสัญญา ข. 12 กำหนดว่า
บรรทัดที่ 215:
{{g}} (ฉ) {{g|0.3em}} ไฟฟ้า
|-
| style = "text-align: right;" | '''
|-
| style = "text-align: left;" | {{g}} (1) {{g|0.3em}} สัญญาจ้างประดิษฐ์หรือผลิตของนั้นให้ถือเป็นการซื้อขาย เว้นแต่คู่สัญญาผู้สั่งของรับจะจัดหาส่วนสำคัญของวัสดุอันจำเป็นแก่การประดิษฐ์หรือผลิตเช่นว่านั้นเอง
บรรทัดที่ 221:
{{g}} (2) {{g|0.3em}} อนุสัญญานี้ไม่ใช้บังคับแก่สัญญาซึ่งคู่สัญญาผู้รับทำของนั้นมีหนี้ในส่วนสำคัญเป็นการจัดหาแรงงานหรือทำงานอย่างอื่น
|-
| style = "text-align: right;" | '''
|-
| style = "text-align: left;" | {{g}} อนุสัญญานี้ว่าด้วยการก่อสัญญาซื้อขาย กับทั้งสิทธิและหนี้ของผู้ขายและผู้ซื้อบรรดาซึ่งเกิดมีขึ้นแต่สัญญาเช่นว่านั้นเท่านั้น กล่าวโดยเฉพาะก็คือว่า ถ้าอนุสัญญานี้มิได้กำหนดไว้เป็นอื่นโดยแจ้งชัดแล้ว อนุสัญญานี้ย่อมไม่เกี่ยวข้องกับ
บรรทัดที่ 229:
{{g}} (ข) {{g|0.3em}} ผลซึ่งสัญญาพึงมีแก่กรรมสิทธิ์ในทรัพย์ซึ่งซื้อขาย
|-
| style = "text-align: right;" | '''
|-
| style = "text-align: left;" | {{g}} อนุสัญญานี้ไม่ใช้บังคับแก่ความรับผิดของผู้ขายเพื่อมรณะหรือความบาดเจ็บเสียหายส่วนบุคคลของผู้ใดอันเป็นผลมาจากทรัพย์
|-
| style = "text-align: right;" | '''
|-
|}
หลักเกณฑ์ประการสุดท้ายนั้นว่าด้วยลักษณะของสัญญาซื้อขาย มีทั้งกรณีที่ไม่ให้ใช้
1. {{g|0.5em}} '''วัตถุประสงค์แห่งการใช้สอย'''
2. {{g|0.5em}} '''วิธีซื้อขาย'''
3. {{g|0.5em}} '''ทรัพย์ซึ่งซื้อขาย'''
{{cl|white|3.}} {{g|0.5em}} ก. {{g|0.5em}} ทรัพย์ทางเศรษฐกิจ ได้แก่ ทุน (stock), หุ้น (share), หลักทรัพย์ในการลงทุน (investment security), ตราสารเปลี่ยนมือ (negotiable instrument) และเงินตรา (money)
บรรทัดที่ 251:
{{cl|white|3.}} {{g|0.5em}} ค. {{g|0.5em}} ไฟฟ้า (electricity)
4. {{g|0.5em}} '''จ้างทำของและจ้างแรงงาน'''
แต่อนุสัญญาจะไม่ใช้บังคับแก่การจ้างทำของ ถ้าผู้จ้างเป็นฝ่ายต้องจัดหาวัสดุดังกล่าว หรือถ้าผู้รับจ้างมีหน้าที่สำคัญเป็นการจัดหาแรงงานหรือทำงานอย่างอื่น (supply of labour or other services) ซึ่งจะกลายเป็นการ[[จ้างแรงงาน]]ไป เช่น "สัญญาซื้อขายสัตว์เลี้ยงซึ่งมีการว่าจ้างผู้เลี้ยงเพื่อให้มาช่วยดูแลสัตว์ในช่วงแรกเพื่อให้สัตว์ปรับตัวได้ หากการจ้างแรงงานดังกล่าวไม่ใช่ส่วนสำคัญของสัญญานี้ ก็ให้ถือว่า เป็นสัญญาซื้อขายตามอนุสัญญานี้"<ref name = "k 75">กำชัย จงจักรพันธ์, 2555: 75.</ref>
5. {{g|0.5em}} '''ขอบเขตของอนุสัญญา'''
{{cl|white|5.}} {{g|0.5em}} ก. {{g|0.5em}} อนุสัญญานี้ว่าด้วยเรื่องก่อสัญญาซื้อขาย และเรื่องสิทธิและหนี้ที่ผู้ขายกับผู้ซื้อมีอยู่ตามสัญญาซื้อขายเท่านั้น
บรรทัดที่ 274:
{{g}} (2) {{g|0.3em}} ปัญหาว่าด้วยเรื่องซึ่งอยู่ในบังคับแห่งอนุสัญญานี้แต่มิได้ปรากฏทางแก้ไว้ในอนุสัญญานี้โดยแจ้งชัดนั้น ให้วินิจฉัยตามหลักทั่วไปอันเป็นรากฐานแห่งอนุสัญญานี้ หรือถ้าหลักเช่นว่านั้นหามิได้แล้ว ก็ให้เป็นไปตามกฎหมายที่สามารถนำมาใช้บังคับได้ตามหลักเกณฑ์แห่งกฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีบุคคล
|-
| style = "text-align: right;" | '''
|-
| style = "text-align: left;" | {{g}} (1) {{g|0.3em}} เพื่อประโยชน์แห่งอนุสัญญานี้ ถ้อยคำหรือความประพฤติอย่างอื่นของคู่สัญญาฝ่ายหนึ่ง ให้ตีความตามเจตนาของคู่สัญญาฝ่ายนั้น ถ้าคู่สัญญาอีกฝ่ายทราบหรือเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่รับทราบว่าเจตนาดังกล่าวนั้นเป็นเช่นไร
บรรทัดที่ 282:
{{g}} (3) {{g|0.3em}} ในการวินิจฉัยเจตนาของคู่สัญญาก็ดี หรือความเข้าใจที่วิญญูชนพึงมีก็ดี ให้พิจารณาบรรดาพฤติการณ์ที่เกี่ยวข้องกับกรณีนั้นเป็นสำคัญ อันรวมถึง การเจรจา ระเบียบแบบแผนที่คู่สัญญาก่อตั้งขึ้นใช้ในระหว่างกันเอง ธรรมเนียม และความประพฤติใด ๆ ที่คู่สัญญามีขึ้นในภายหลัง
|-
| style = "text-align: right;" | '''
|-
|}
บรรทัดที่ 288:
=== การตีความอนุสัญญา ===
1. {{g|0.5em}} '''สัญชาติของคู่สัญญา''' อนุสัญญา ข. 1 ว. (3) ว่า ในการนำอนุสัญญาไปใช้บังคับ ไม่ต้องคำนึงถึงสัญชาติของคู่สัญญาซื้อขาย หมายความว่า ไม่ว่าคู่สัญญาซื้อขายจะมีสัญชาติต่างกันหรือไม่ ถ้าเข้าเกณฑ์ที่จะใช้อนุสัญญาบังคับได้ เช่น แม้สัญชาติเดียวกัน แต่มีสถานประกอบธุรกิจอยู่คนละรัฐกัน ก็เป็นอันใช้ได้
บรรทัดที่ 298:
{{cl|white|3.}} {{g|0.5em}} ก. {{g|0.5em}} [[ลักษณะระหว่างประเทศ]] (international character) และ
{{cl|white|3.}} {{g|0.5em}} ข. {{g|0.5em}} ความจำเป็นที่จะต้องส่งเสริมให้
4. {{g|0.5em}} '''เจตนาของคู่สัญญา''' อนุสัญญา ข. 8 ว่า
บรรทัดที่ 310:
5. {{g|0.5em}} '''กฎหมายสำรอง''' อนุสัญญา ข. 7 ว. (2) ว่า เมื่อไม่มีข้อบทในอนุสัญญาสามารถนำมาใช้บังคับแก่กรณีใดโดยเฉพาะ ให้วินิจฉัยกรณีนั้นไปตาม "หลักทั่วไปอันเป็นรากฐานแห่งอนุสัญญานี้" (general principles on which it [this Convention] is based) และถ้าหาหลักทั่วไปนั้นไม่ได้แล้วด้วย ก็ให้อาศัยกฎหมายทั้งหลายที่จะนำมาใช้บังคับได้ตามหลักเกณฑ์ของกฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีบุคคล
ข้อนี้หมายความว่า เมื่อมีช่องว่างใน
=== การยึดถือธรรมเนียมประเพณี ===
บรรทัดที่ 320:
|-
| style = "text-align: right;" | '''
|-
|}
1. {{g|0.5em}} อนุสัญญา ข. 9 ว. (1) กำหนดให้คู่สัญญาต้องปฏิบัติตาม
บรรทัดที่ 345:
| style = "text-align: left;" | {{g}} สัญญาซื้อขายนั้นไม่จำต้องทำเป็นหรือมีหลักฐานเป็นหนังสือ และไม่อยู่ในบังคับแห่งข้อกำหนดอื่นใดอันว่าด้วยแบบ การพิสูจน์สัญญานี้จะกระทำด้วยวิธีใดก็ได้ รวมถึงการใช้พยานบุคคล
|-
| style = "text-align: right;" | '''
|-
| style = "text-align: left;" | {{g}} เพื่อประโยชน์แห่งอนุสัญญานี้ "หนังสือ" หมายความรวมถึง โทรเลขและโทรพิมพ์
|-
| style = "text-align: right;" | '''
|-
|}
เมื่อสัญญาไม่จำต้องทำเป็นหนังสือหรือมีหลักฐานเป็นหนังสือแล้ว อนุสัญญา ข. 11 ยังอนุญาตด้วยว่า การพิสูจน์สัญญาจะทำอย่างไรก็ได้ รวมถึงจะเบิกพยานบุคคลมาพิสูจน์ก็ได้
บรรทัดที่ 361:
=== การรักษาสัญญา ===
แม้จะส่งเสริมให้การซื้อขายเป็นไปโดยสะดวก ไม่ต้องจำกัดอยู่กับแบบอย่างใด ๆ แต่
{{clear}}
บรรทัดที่ 386:
{{div col end}}
{{fs|130%|{{note label|reference_name_ค|ค|ค}}}} เพื่อแยกแยะ นักกฎหมายบางคนเรียก "อนุสัญญาเกี่ยวกับกฎหมายเอกรูปว่าด้วยการซื้อขายระหว่างประเทศ" ว่า "
{{fs|130%|{{note label|reference_name_ฅ|ฅ|ฅ}}}} รัฐทั้งหกสิบสองที่เข้าร่วมประชุม (''ตัวเอียง'' คือ รัฐทั้งสิบที่งดออกเสียง) มีดังต่อไปนี้ (Peter Schlechtriem, 1986: Online)
บรรทัดที่ 459:
{{fs|130%|{{note label|reference_name_ฆ|ฆ|ฆ}}}} แปลมาอย่างอื่นก็มี เช่น "อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยสัญญาซื้อขายสินค้าระหว่างประเทศ" (กำชัย จงจักรพันธ์, 2555: 68) และ "อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยสัญญาซื้อขายสังหาริมทรัพย์ระหว่างประเทศ" [กิตติศักดิ์ ปรกติ, ม.ป.ป. (''อนุสัญญาว่าด้วยสัญญาซื้อขายระหว่างประเทศฯ''): ออนไลน์].
{{fs|130%|{{note label|reference_name_ง|ง|ง}}}} ระวังสับสนกับอนุสัญญาฉบับอื่นซึ่งทำขึ้น ณ กรุงเวียนนา และก็เรียก "อนุสัญญากรุงเวียนนา" เช่นกัน ฉบับที่โดดเด่นเป็นต้นว่า
* อนุสัญญากรุงเวียนนาเพื่อพิทักษ์ชั้นโอโซน (Vienna Convention for the Protection of the Ozone Layer) * อนุสัญญากรุงเวียนนาว่าด้วยกฎหมายสนธิสัญญา (Vienna Convention on the Law of Treaties) * อนุสัญญากรุงเวียนนาว่าด้วยกฎหมายสนธิสัญญาระหว่างรับกับองค์การระหว่างประเทศหรือระหว่างองค์การระหว่างประเทศ (Vienna Convention on the Law of Treaties between States and International Organizations or Between International Organizations) * * อนุสัญญากรุงเวียนนาว่าด้วยความสัมพันธ์ทางกงสุล (Vienna Convention on Consular Relations) * {{fs|130%|{{note label|reference_name_จ|จ|จ}}}} ปรกติแล้ว "Contracting State" แปลว่า "รัฐผู้ทำสัญญา" หรือ "รัฐคู่สัญญา" แต่ในภาษาไทย ถ้าใช้เช่นนั้นอาจสร้างความสับสนว่าเป็นผู้ทำสัญญาซื้อขายหรือคู่สัญญาซื้อขายได้ (ทั้งที่จริงแล้วเป็นผู้ทำ
{{fs|130%|{{note label|reference_name_ฉ|ฉ|ฉ}}}}
* คำว่า "ship" หมายถึง เรือซึ่งมีเสา (mast) สามเสาหรือมากกว่านั้น แต่ละเสาขึงผ้าใบสี่เหลี่ยม (square-rigged) และยังมีผ้าใบเล็ก (jib) มีผ้าใบขึงระหว่างเสา (staysail) และที่เสากระโดงเสาท้ายสุดมีผ้าใบปีก (spanker) ด้วย ("ship", 2013: Online)
* ส่วน "vessel" นั้นหมายถึง ยานพาหนะทุกประเภทสำหรับใช้เดินท้องน้ำ (a craft for traveling on water) ("vessel", 2013: Online).
เส้น 570 ⟶ 576:
| เส้น = #aeb8a4
| พื้น = #cad5ab
| ก่อนหน้า = [[กฎหมายการค้าระหว่างประเทศ/ภาคที่ 2/บทที่ 1|ภาคที่ 2 • บทที่ 1]] <br> [[กฎหมายการค้าระหว่างประเทศ/ภาคที่ 2/บทที่ 1|หลักเกณฑ์ตาม
| ถัดไป = [[กฎหมายการค้าระหว่างประเทศ/ภาคที่ 2/บทที่ 1/ส่วนที่ 2|ภาคที่ 2 • บทที่ 1 • ส่วนที่ 2]] <br> [[กฎหมายการค้าระหว่างประเทศ/ภาคที่ 2/บทที่ 1/ส่วนที่ 2|การก่อสัญญาซื้อขายตาม
}}
{{กฎหมายการค้าระหว่างประเทศ}}
|