ผลต่างระหว่างรุ่นของ "กฎหมายการค้าระหว่างประเทศ/ภาคที่ 2/บทที่ 1/ส่วนที่ 1"
เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
Tiemianwusi (คุย | ส่วนร่วม) ไม่มีความย่อการแก้ไข |
Tiemianwusi (คุย | ส่วนร่วม) ไม่มีความย่อการแก้ไข |
||
บรรทัดที่ 108:
อนุสัญญาดังกล่าวมีชื่ออย่างเป็นทางการว่า '''อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยสัญญาซื้อขายระหว่างประเทศ'''{{ref label|reference_name_ฆ|ฆ|ฆ}} (United Nations Convention on Contracts for the International Sale of Goods) หรือเรียกโดยย่อว่า '''ซีไอเอสจี''' (CISG) แต่มักเรียกกันว่า '''อนุสัญญากรุงเวียนนา''' (Vienna Convention) เนื่องจากตกลงรับกันที่กรุงเวียนนา{{ref label|reference_name_ง|ง|ง}}
อนุสัญญากรุงเวียนนามีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2531 (ค.ศ. 1988)<ref>กิตติศักดิ์ ปรกติ, ม.ป.ป. (''อนุสัญญาว่าด้วยสัญญาซื้อขายระหว่างประเทศฯ''): ออนไลน์.</ref> ปัจจุบัน มีรัฐลงนามและให้สัตยบันในอนุสัญญากรุงเวียนนาแล้วจำนวนเจ็ดสิบแปดรัฐ รัฐเหล่านี้อนุสัญญาเรียกว่า "รัฐ
อนุสัญญากรุงเวียนนานับเป็นผลงานที่ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งของอันซิทร็อล รัฐซึ่งเห็นชอบในอนุสัญญานี้มาจาก "ทุกท้องที่ในทางภูมิศาสตร์ ทุกระดับพัฒนาการทางเศรษฐกิจ และทุกระบบหลักในทางกฎหมาย สังคม และเศรษฐกิจ"<ref>"Every geographical region, every stage of economic development and every major legal, social and economic system" (John Felemegas, 2000: 115).</ref> อนุสัญญานี้ยังได้รับการพรรณนาว่า เป็นความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ในวงการนิติบัญญัติ<ref>Joseph Lookofsky, 1991: 403.</ref> และเป็น "เอกสารระหว่างประเทศที่ได้รับความสำเร็จมากที่สุดในบัดนี้"<ref>"Most successful international document so far" (Bruno Zeller, 2007: 94).</ref> ด้วย
บรรทัดที่ 123:
| style = "text-align: left;" | {{g}} (1) {{g|0.3em}} อนุสัญญานี้ใช้บังคับแก่สัญญาซื้อขายระหว่างคู่สัญญาซึ่งมีสถานประกอบธุรกิจอยู่ต่างรัฐกัน
{{g}} {{cl|#cce5b2| (1)}} {{g|0.3em}} (ก) {{g|0.3em}} เมื่อรัฐนั้นเป็นรัฐ
{{g}} {{cl|#cce5b2| (1)}} {{g|0.3em}} (ข) {{g|0.3em}} เมื่อหลักเกณฑ์แห่งกฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีบุคคลเปิดช่องให้นำกฎหมายของรัฐ
{{g}} (2) {{g|0.3em}} ไม่จำต้องคำนึงถึงข้อเท็จจริงที่ว่า คู่สัญญามีสถานประกอบธุรกิจอยู่ต่างรัฐกัน เมื่อไม่ปรากฏข้อเท็จจริงเช่นนี้จากตัวสัญญาเองก็ดี หรือจากธรรมเนียมการค้าใด ๆ ระหว่างคู่สัญญา หรือจากข้อมูลข่าวสารซึ่งเปิดเผยขึ้นโดยคู่สัญญาไม่ว่าเวลาใด ๆ ก่อนหรือขณะทำสัญญานั้นก็ดี
บรรทัดที่ 153:
หลักเกณฑ์แรกสุดในการนำอนุสัญญากรุงเวียนนามาใช้บังคับนั้นว่าด้วยเรื่องสถานประกอบธุรกิจ (place of business) ของคู่สัญญาดังนี้
1. {{g|0.5em}} อนุสัญญากรุงเวียนนา ข. 1 ว. (1) (ก) กำหนดว่า ถ้าในการซื้อขายนั้น สถานประกอบธุรกิจของคู่สัญญาแต่ละฝ่ายอยู่ต่างรัฐกัน และรัฐทั้งสองเป็นรัฐ
2.{{g|0.5em}} อนุสัญญากรุงเวียนนา ข. 1 ว. (1) (ข) กำหนดอีกว่า ถ้าในการซื้อขายนั้น สถานประกอบธุรกิจของคู่สัญญาแต่ละฝ่ายอยู่ต่างรัฐกัน แต่รัฐใดรัฐหนึ่งดังกล่าวนี้ไม่เป็นรัฐ
เช่น วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2556 พจมาร สว่างพวง ซึ่งเปิดร้านขายอุปกรณ์คมนาคมอยู่ ณ บ้านทรายดอง กรุงเทพมหานคร ทำสัญญาซื้อขายดาวเทียมเทยคมกับคุณชายกางซึ่งอยู่ตั้งบริษัทอยู่ที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ขณะนั้น ประเทศไทยยังไม่เป็นรัฐ
แต่ปรากฏว่า พจมารถือสัญชาติเกาหลีใต้ คุณชายกางก็ถือสัญชาติเกาหลีใต้ และประเทศเกาหลีใต้เป็นรัฐ
เรื่องคู่สัญญามีสถานประกอบธุรกิจอยู่ต่างรัฐกันนี้ คู่สัญญาต้องรู้หรือควรรู้กันอยู่แล้วตั้งแต่ก่อนทำสัญญาหรือในเวลาที่ทำสัญญา โดยอาจรู้ได้จากตัวสัญญาเองก็ดี จากธรรมเนียมการค้า (dealing) ระหว่างคู่สัญญาด้วยกันเองก็ดี หรือจากข้อมูลข่าวสาร (information) ซึ่งคู่สัญญาเปิดเผยต่อกันก็ดี ตามความในอนุสัญญากรุงเวียนนา ข. 1 ว. 2 แต่ถ้ามาทราบเรื่องดังกล่าวหลังทำสัญญาแล้ว แม้เข้าเกณฑ์ตาม ว. 1 ก็ต้องถือว่า นำอนุสัญญามาใช้บังคับไม่ได้<ref name = "k 73">กำชัย จงจักรพันธ์, 2555: 73.</ref>
บรรทัดที่ 174:
| style = "text-align: right;" | '''อนุสัญญากรุงเวียนนา ข. 6'''{{ref label|reference_name_c|c|c}}
|-
| style = "text-align: left;" | {{g}} ความใด ๆ ในข้อ 11 ข้อ 29 หรือภาค 2 แห่งอนุสัญญานี้ ที่ยอมให้ทำสัญญาซื้อขาย หรือให้ตกลงแก้ไขเพิ่มเติมหรือยกเลิกสัญญานั้น หรือให้เสนอ สนอง หรือแสดงเจตนาอย่างอื่นในรูปแบบใด ๆ นอกเหนือไปจากการทำเป็นหนังสือได้นั้น ย่อมไม่ใช้บังคับถึงกรณีที่คู่สัญญามีสถานประกอบธุรกิจอยู่ในรัฐ
|-
| style = "text-align: right;" | '''อนุสัญญากรุงเวียนนา ข. 12'''{{ref label|reference_name_d|d|d}}
|-
| style = "text-align: left;" | {{g}} รัฐ
|-
| style = "text-align: right;" | '''อนุสัญญากรุงเวียนนา ข. 96'''{{ref label|reference_name_e|e|e}}
บรรทัดที่ 190:
แต่อนุสัญญา ข. 12 กำหนดว่า
1. {{g|0.5em}} คู่สัญญาไม่อาจตกลงตามข้อ (ข) หรือ (ค) ข้างต้นได้ ถ้าคู่สัญญามีสถานประกอบธุรกิจอยู่ในรัฐ
2. {{g|0.5em}} ห้ามคู่สัญญาไม่นำ ข. 12 นี้มาใช้บังคับ งดใช้ ข. 12 นี้ หรือกำหนดให้ ข. 12 นี้มีผลแตกต่างออกไป
คำแถลงตามอนุสัญญา ข. 96
เพราะฉะนั้น แม้จะเข้าหลักเกณฑ์ประการแรกซึ่งว่าด้วยเรื่องสถานประกอบธุรกิจดังอธิบายมาแล้ว แต่ถ้าคู่สัญญาตกลงกันตามความในอนุสัญญา ข. 6 ก็อาจไม่สามารถนำอนุสัญญามาใช้บังคับได้ทั้งหมดหรือบางส่วน
บรรทัดที่ 239:
หลักเกณฑ์ประการสุดท้ายนั้นว่าด้วยลักษณะของสัญญาซื้อขาย มีทั้งกรณีที่ไม่ให้ใช้อนุสัญญากรุงเวียนนาบังคับ และที่ให้นำไปใช้บังคับด้วย ดังนี้
1. {{g|0.5em}} '''วัตถุประสงค์แห่งการใช้สอย''' อนุสัญญากรุงเวียนนา ข. 2 (ก) ว่า ไม่ให้ใช้อนุสัญญาบังคับ ถ้าทรัพย์ซึ่งซื้อขายกันนั้นซื้อไปไว้ใช้สอยส่วนตัว ส่วนครอบครัว หรือส่วนครัวเรือน (for personal, family or household use) แต่ถ้าก่อนทำสัญญาซื้อขายหรือในเวลาทำสัญญาซื้อขายนั้น ผู้ขายไม่ทราบหรือไม่ควรจะได้ทราบถึงวัตถุประสงค์ในการใช้สอยดังกล่าว ก็ให้นำอนุสัญญามาใช้ได้ เหตุที่อนุสัญญากรุงเวียนนากำหนดไว้ดังนี้ ก็เพื่อมิให้ขัดกับกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภคของรัฐ
2. {{g|0.5em}} '''วิธีซื้อขาย''' อนุสัญญากรุงเวียนนา ข. 2 (ข) และ (ค) ว่า ไม่ให้ใช้อนุสัญญาบังคับแก่การซื้อขายซึ่งกระทำโดยวิธีพิเศษสามวิธี คือ การทอดตลาด (auction), การบังคับคดี (execution) และการอาศัยอำนาจอย่างอื่นตามกฎหมาย (otherwise by authority of law)
บรรทัดที่ 357:
เมื่อสัญญาไม่จำต้องทำเป็นหนังสือหรือมีหลักฐานเป็นหนังสือแล้ว อนุสัญญา ข. 11 ยังอนุญาตด้วยว่า การพิสูจน์สัญญาจะทำอย่างไรก็ได้ รวมถึงจะเบิกพยานบุคคลมาพิสูจน์ก็ได้
อย่างไรก็ดี อนุสัญญา ข. 96 [[#ความตกลงของคู่สัญญา|ยินยอมให้รัฐ
=== การรักษาสัญญา ===
บรรทัดที่ 461:
{{fs|130%|{{note label|reference_name_ง|ง|ง}}}} ระวังสับสนกับอนุสัญญาฉบับอื่นซึ่งทำขึ้น ณ กรุงเวียนนา และก็เรียก "อนุสัญญากรุงเวียนนา" เช่นกัน ฉบับที่โดดเด่นเป็นต้นว่า อนุสัญญากรุงเวียนนาเพื่อพิทักษ์ชั้นโอโซน (Vienna Convention for the Protection of the Ozone Layer), อนุสัญญากรุงเวียนนาว่าด้วยกฎหมายสนธิสัญญา (Vienna Convention on the Law of Treaties), อนุสัญญากรุงเวียนนาว่าด้วยกฎหมายสนธิสัญญาระหว่างรับกับองค์การระหว่างประเทศหรือระหว่างองค์การระหว่างประเทศ (Vienna Convention on the Law of Treaties between States and International Organizations or Between International Organizations), และอนุสัญญากรุงเวียนนาว่าด้วยการค้ายาเสพติดและสารทางจิตเวชโดยมิชอบด้วยกฎหมาย (Vienna Convention Against Illicit Traffic in Narcotic Drugs and Psychotropic Substances), อนุสัญญากรุงเวียนนาว่าด้วยความสัมพันธ์ทางกงสุล (Vienna Convention on Consular Relations) และอนุสัญญากรุงเวียนนาว่าด้วยความสัมพันธ์ทางทูต (Vienna Convention on Diplomatic Relations)
{{fs|130%|{{note label|reference_name_จ|จ|จ}}}} ปรกติแล้ว
{{fs|130%|{{note label|reference_name_ฉ|ฉ|ฉ}}}} อนุสัญญากรุงเวียนนาใช้ทั้งคำว่า "ship" และ "vessel" คำทั้งสองนี้ปรกติแล้วมีความหมายว่า เรือ เหมือนกัน และยังไม่ปรากฏว่ามีนักนิติศาสตร์อธิบายว่า "ship" กับ "vessel" ตามอนุสัญญากรุงเวียนนามีความหมายต่างกันอย่างไร ในที่นี้จึงแปล "ship" ว่า เรือ และ "vessel" ว่า เครื่องเดินท้องน้ำ เพราะในทางนาวิกศาสตร์
|